สูตรวิธีการทำ มะขามแช่อิ่ม

ส่วนผสมในการทำทำมะขามแช่อิ่ม


   1. มะขามสดฝักใหญ่ 1 กิโลกรัม ประมาณ 40 ฝัก
   2. น้ำต้มเดือด
   3. น้ำปูนใส 5 ถ้วย
   4. น้ำเกลือ (เกลือ 1/2 ถ้วยต่อน้ำ 5 ถ้วย )
   5. น้ำเชื่อม
   6. น้ำตาลทราย 1/2 กิโลกรัม
   7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
   8. น้ำ 3 ถ้วย

วิธีทำมะขามแช่อิ่ม

   1. มะขามใส่หม้อ ต้มน้ำเดือดเทลงในหม้อมะขามให้ท่วมฝักมะขามทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที เทน้ำออกให้หมด แช่น้ำเย็นทันที แกะเปลือกออก
   2. นำมะขามที่แกะเปลือกออกแล้ว แช่ในน้ำปูนใสประมาณ 4 ชั่วโมง แล้วสงขึ้น ล้างด้วย น้ำอีกครั้ง
   3. แช่ในน้ำเกลือประมาณ 3 ชม. แล้วล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
   4. น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำ ตั้งไฟพอเดือดและน้ำตาล เกลือ ละลายหมด กรองด้วยผ้าขาว บาง พักไว้ให้เย็น
   5. นำมะขามลงแช่ ให้น้ำเชื่อมท่วมมะขาม พักไว้ 1 วัน วันที่ 2 นำมะขามขึ้นจากน้ำเชื่อม นำน้ำเชื่อม อุ่นให้เดือด พักไว้ให้เย็น ใส่มะขามลงแช่ใหม่ทำเช่นนี้ 3-4วัน แต่วันหลังๆ ควรเพิ่มน้ำตาลอีกเล็กน้อย

คำแนะนำในการทำทำมะขามแช่อิ่ม
    * น้ำร้อนช่วยทำให้แกะเปลือกมะขามออกได้ง่ายขึ้น แต่อย่าแช่นานเกินไป จะทำให้ มะขามสุกเปื่อย
    * แช่มะขามในน้ำปูนใสเพื่อต้องการให้กรอบและแช่ในน้ำเกลือเพื่อให้มะขามลดความ เปรี้ยวลง
    * มะขามแช่อิ่มที่ดีจะต้องกรอบ รสเปรี้ยวๆ หวานๆ
    * น้ำเชื่อมสูตรนี้ ใช้ทำ มะยม มะดัน มะม่วงดิบ มะปรางดิบ หรือผลไม้อื่น แช่อิ่ม ได้

การปลูกมะขามหวาน  มะขาม มีแหล่งกำเนิดในอัฟริกาเขตร้อน  เป็นไม้ป่าแถบสะวันนาได้นำเข้าไปปลูกใน อินเดีย   และต่อมาได้แพร่กระจายทั่วไปในเอเชียและเขตร้อนอื่น ๆ  ประเทศไทย จัดว่าเป็นแหล่งปลูกมะขามเปรี้ยวและมะขามหวานที่ใหญ่ที่สุด   พบว่ามีการ ปลูกมะขามหวานกันมานานแล้วในภาคเหนือของไทย   โดยเฉพาะที่อำเภอหล่ม เก่า  จังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดมะขามหวานพันธ์หมื่นจง  สีทอง  และ อินทผลัม  ที่มีชื่อที่สุด   นอกจากนั้นยังพบในบางจังหวัดทางภาค อีสาน  ปัจจุบันได้มีการคัดเลือกขยายพันธุ์และปลูกเป็นอาชีพเกือบทุกภาคของ ประเทศไทย  คาดว่าในอนาคตอาจจะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจทำรายได้ให้แก่ประเทศ
ชื่อสามัญ:   Sweet   Tarmarind
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tarmarindus   indica  L.
มะขามหวานเป็นพืชในวงศ์ถั่ว(Lequminosae)   เช่นเดียวกับ  ราชพฤกษ์,  กัลปพฤกษ์  และขี้เหล็ก

อุปนิสัยของมะขามหวาน:
มะขามหวานเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ มีอายุยืน แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มทรงกลมแน่น ลำต้นเหนียวหักโคนยาก และรากลึก ทนแล้งเป็นไม้ผลกึ่งเขียวตลอดปี (Semi-evergreen) แต่จะค่อย ๆ สลัดใบแก่ในฤดูร้อน ประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน พร้อมกันนั้นก็จะผลิใบใหม่ขึ้นมาแทน เมื่อใบเริ่มแก่ก็จะออกดอก คือประมาณเดือนเมษายน – พฤษภาคม ติดฝักอ่อนพอมองเห็นได้ราว ๆ ปลายเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนและฝักจะแก่เก็บได้ประมาณปลายเดือนธันวาคม – มีนาคม ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพันธุ์ ปริมาณของฝนและความชื้น


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ใบ (Leaves) – มะขามหวานเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ชนิดใบประกอบ (compound leaves) ใบเรียงตัวแบบสลับ (alternate) มีความยาวประมาณ 10 – 16 ซม. ประกอบด้วยใบย่อยเล็ก ๆ รูปคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า (oblong) ขนาด 1 – 2.5 x 0.5 – 1.0 ซม. เรียงตัวติดก้านใบใหญ่แบบตรงข้าม (opposite) มีจำนวนใบย่อยประมาณ 10 – 17 คู่
ดอก(Flowers) – มะขามหวานมีดอกเป็นช่อแบบ Racemes ยาวประมาณ 5 – 16 ซม. บานจากโคนช่อไปยอดในช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกประมาณ 5 – 12 ดอก ขนาดเสนผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 – 2.5 ซม. มีกลีบไม่เท่ากัน (Zygomorphic) ประกอบด้วยใบประดับ (Bracteoles) จำนวน 2 อัน รูปเรือมีสีครีม, ชมพู-ครีม หรือสีแดง ซึ่งแล้วแต่พันธุ์ ใบประกอบนี้จะหุ้มตาดอกไว้ แต่จะร่วงก่อนดอกบาน ดอกมะขามหวานจะมีกลีบเลี้ยง (Sepals) 4 อัน สีครีมยาวประมาณ 1 – 1.5 ซม. กลีบดอก (Petale) 3 อัน สีเหลืองหรือสีชมพูและมีเส้นลายแดงคล้ายเส้นโลหิตฝอยยาวประมาณ 1 – 1.5 ซม.
ดอกมะขามหวานเป็นดอกประเภทสมบูรณ์เพศมี เกสรตัวผู้ที่สมบูรณ์ (Fertile stamens) 3 อัน สลับด้วยเกสรตัวผู้ที่ฝ่อหรือไม่สมบูรณ์ (Staminodes) ก้านเกสร (Filaments) ยาวประมาณ 1 ซม. และโค้งเล็กน้อย มีฐานติดกันประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวมีกระเปราะเกสรตัวผู้ (Anthers) 2 อัน ติดอยู่ที่ปลายตามขวาง เกสรตัวเมีย (Pistil) 1 อัน ก้านเกสร (Style) ยาวกว่าของตัวผู้เล็กน้อยและมีขนอ่อนปกคลุม การติดของรังไข่ (overy) เป็นแบบ Superior มี 1 ช่อง (locule) แต่มีไข่อ่อน (ovules) จำนวนมาก มะขามหวานส่วนใหญ่มีการผสมพันธุ์ข้ามดอก เนื่องจากเกสรตัวผู้จะบานก่อนเกสรตัวเมีย และมักจะมีอายุในการผสมราว 1 – 2 วัน และถ้าไม่ได้รับการผสมหรือผสมไม่ติด ประมาณ 2 – 3 วัน ต่อมาดอกจะร่วงโดยกลีบดอกจะร่วงก่อน ส่วนดอกที่ได้รับการผสมติดแล้ว รังไข่ก็จะขยายตัวเจริญเป็นฝักมะขามต่อไป

ฝักหรือผล(Pods or Fruits) – ฝักมะขามหวานเป็นฝักเดี่ยวยาว มีหลานเมล็ดประมาณ 1 – 10 เมล็ด ฝักอ่อนจะมีสีเขียวและมีสะเก็ด (scurfy) สีน้ำตาลปกคลุม เมื่อฝักแก่จะแข็งเป็นสีน้ำตาล เปลือกจะแยกออกจากเนื้อ (pulp) ซึ่งหุ้มแต่ละเมล็ดเชื่อมต่อกันทั้งฝัก มะขามหวานมีฝักลักษณะรูปร่างต่าง ๆ มีขนาดเล็กจนถึงใหญ่ พอจะแบ่งตามลักษณะของฝักได้ดังนี้.-
1. ฝักดิ่งหรือตรง เป็นมะขามที่มีลักษณะของฝักเหยียดตรงรูปร่างคล้ายกระบอกหัวท้ายมน ฝักไม่โค้งหรืองอ เวลาติดฝักอยู่กับต้น ปลายฝักจะห้อยชี้ลงเป็นแนวตรงได้แก่ พันธุ์ขันตี, อินทผลัม และศรีชมภู
2. ฝักดาบ เป็นมะขามที่มีลักษณะของฝักคล้าย ๆ กับฝักดิ่งแต่จะโค้งงอเล็กน้อย เหมือนกับรูปมีดดาบ ฝักอาจจะกลมหรือค่อนข้างแบนได้แก่ พันธ์แจ้ห่ม, ฟากเลย, ปากดุก และอินทผลัม
3. ฝักฆ้องหรือโค้ง เป็นมะขามที่มีลักษณะของฝักกลมยาวโค้งงอ บางทีเกือบเป็นวงกลมเหมือนฆ้องวง ได้แก่ พันธุ์หมื่นจง สีทอง น้ำผึ้ง และพันธ์หลังแตก
4. ฝักดูก เป็นมะขามที่มีลักษณะของผักแบนเป็นเหลี่ยม ฝักเล็กอาจจะโค้งหรือตรง มีเนื้อน้อย น้ำหนักเบา บางทีเรียกว่ามะขามขี้แมว มะขามกระดูก และมะขามฝักแป ฯลฯ

เนื้อมะขาม (Pulp) เนื้อมะขามหวานเป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ซึ่งมะขามหวานที่ดีนั้นควรจะมuรสหวาน กลิ่นหอม เนื้อนุ่มหรือกรอบ มีพังพืดหรือเยื้อหุ้มเมล็ดไม่เหนียว และเมล็ดเล็กหลุดออกจากเนื้อง่าย อย่างไรก็ตามมะขามแต่ละพันธ์จะให้เนื้อดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ส่วนเรื่องสีของเนื้อมะขามหวานนั้น มีตั้งแต่สีน้ำตาลเข็มเกือบดำ สีน้ำตาลแดง สีน้ำตาล สีน้ำตาลเหลือง ตลอดจนสีน้ำตาลอ่อนซีด หรือด้าน ๆ มะขามเมื่อแก่แล้วเก็บไว้นาน ๆ สีของเนื้อจะเข็มหรือคล้ำขึ้น และกลิ่นหอมจะหายไปบ้าง
มะขามหวานขณะยังอ่อนจะมีรสเปรี้ยวและ ฝาด เนื่องจากเนื้อมะขามมีกรดทาแทริค (Tartaric acid) เมื่อแก่แล้วความฝาดจะหายไป ปริมาณกรดก็จะลดลงและน้ำตาลจะเพิ่มขึ้น ถ้าประมาณของน้ำตาลสูงมีกรดน้อย มะขามก็จะหวานจัด ซึ่งมะขามแต่ละพันธุ์มีความหวานแตกต่างกัน
มะขามไม่ว่าหวานหรือเปรี้ยว ในฝักหนึ่ง ๆ ควรจะมีเนื้อ(pulp) อยู่อย่างน้อย 40% ซึ่งเนื้อมะขามประกอบด้วย น้ำประมาณ 20% โปรตีน 3 – 3.5% ไขมัน 0.4 – 0.5% คาร์โบไฮเดรท 70% เส้นไย 3.0% และขี้เถ้า 2.1% ความเปรี้ยวของเนื้อมะขามจะขึ้นอยู่กับประมาณกรดทาแทริคในเนื้อ มะขามเปรี้ยวส่วนใหญ่จะมีกรดประมาณ 12% ส่วนมะขามหวานจะมีน้อยกว่าและคาร์โบไฮเดรทส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของน้ำตาล
เมล็ด(Seeds) เมล็ดมะขามเมื่อแก่จัดจะแข็ง มีสีน้ำตาลเข้ม ผิวเรียบเป็นมัน เมล็ดจะมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมหัวป้าน (obovoid) ภายในมีเนื้อประกอบด้วย แป้ง 63% โปรตีน 16% และน้ำมัน 5.5% สามารถใช้ประกอบอาหารได้ เมล็ดมะขามไม่มีระยะพักตัว เมื่อแก่จัดนำไปเพาะจะงอกเป็นต้นอ่อนราว 5 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับความชื้นและความสมบูรณ์ของเมล็ดแต่ไม่ควรเก็บเมล็ดไว้นาน ๆ เพราะความงอกจะลดลง และจะเสียหายจากตัวแมลงเจาะกิน

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูกมะขามหวาน:
มะขามหวานเป็นไม้ผลที่เจริญเติบโตได้ดี ในเขตร้อน ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด ทนแล้ง ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง นับว่าต้องการน้ำน้อยกว่าไม้ผลชนิดอื่น ๆ ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว ไม่ค่อยมีปัญหาเนื่องจากมะขามจะออกดอกและติดฝักอ่อนในฤดูฝน ผลแก่ในฤดูแล้งอย่างไรก็ตาม สภาพดินฟ้าอากาศ ที่เหมาะในการปลูกมะขามหวานเป็นอาชีพนั้น ควรเป็นดินค่อนข้างเหนียว มีความเป็นกลางหรือด่างอ่อน ๆ มีปริมาณอินทรียวัตถุพอสมควร เป็นที่สูงน้ำไม่ท่วมขัง และในฤดูแล้งมีน้ำให้บ้าง สรุปแล้วในประเทศไทยสามารถปลูกมะขามหวานได้เกือบทุกภาค และถ้ามีการบำรุงรักษาตามสมควร แล้วก็จะได้ผลดีกว่าไม้ผลอื่น ๆ มากทีเดียว


พันธุ์มะขามหวาน:
ปัจจุบันในประเทศไทยมีมะขามหวานอยู่มาก มายหลายพันธุ์แต่ละพันธุ์ก็มี ลักษณะ และคุณสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งพอจะสรุปพันธุ์มะขามหวานที่ควรแนะนำและส่งเสริมดังนี้.-
1.มะขามพันธุ์สีทอง เป็นมะขามหวานฝักฆ้องหรือโค้งยาวใหญ่เปลือกฝักหนา สีน้ำตาลอ่อน ผิวเกลี้ยงนวล เนื้อมะขามหนา กรอบ เนื้อสีน้ำตาลเหลือง พังพืดหรือเยื่อหุ้มเมล็ดไม่เหนียว เมล็ด หลุดออกจากเนื้อง่าย กลิ่นหอมพอสมควร รสหวานจัด เมล็ดเล็กนับว่าเป็นพันธ์ที่มีฝักใหญ่ที่สุดมีจำนวนฝักประมาณ 25 – 30 ฝัก ในหนึ่งกิโลกรัม เป็นพันธุ์มะขามหวานพุ่มกว้างสูงใหญ่ ทรงพุ่มไม่แน่นอน ใบใหญ่ ยอดอ่อน สีแดงปนชมพู ลำต้นค่อนข้างละเอียด สีน้ำตาลอ่อนออกนวล ๆ ฝึกแก่ช้าหรือเป็นมะขามพันธ์หนัก ซึ่งกลายพันธ์มาจากพันธุ์หมื่นจง มีถิ่นกำเนิดที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดว่าเป็นพันธุ์ที่นิยมมากที่สุด
2.มะขามพันธุ์หมื่นจง เป็นมะขามหวานฝักฆ้อง พันธุ์เก่าแก่ดั้งเดิมเป็นพ่อแม่พันธุ์ของพันธุ์สีทองน้ำผึ้ง และพันธุ์ฝักฆ้องอื่น ๆ ฝักมีขนาดกลางเล็กกว่าพันธุ์สีทองเล็กน้อย ผิวฝักหยาบสีน้ำตาล เปลือกหนา เนื้อหนาสีน้ำตาลเข้มปนเหลือง มีกลิ่นหอมมาก และรสหวานจัด มีเปอร์เซ็นต์น้ำตาลสูงถึง 45.2% ลำต้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เปลือกหนาหยาบเป็นร่องลึก ใบใหญ่สีเขียวเข้ม ยอดอ่อนสีแดงอ่อนปนชมพู พุ่มต้นกว้างใหญ่ กิ่งก้านโปร่ง ใบไม่ค่อยดก ตาดอกแตกออกจากกิ่งใหญ่และยอดให้ผลดกกว่าพันธุ์สีทอง และเป็นพันธุ์หนักพอ ๆ กันฝักแก่เก็บได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ต้นมะขามพันธ์หมื่นจงมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นพันธุ์ดีที่นิยมกันมานานจนถึงปัจจุบัน
3.มะขามพันธุ์น้ำผึ้ง เป็นมะขามหวานฝักฆ้อง คาดว่ากลายพันธุ์มาจากกพันธุ์หมื่นจง จัดเป็นมะขามหวานฝักเล็ก แต่ให้ผลผลิตสูง เนื่องจากติดผลดกลักษณะฝักและสีผิวคล้ายหมื่นจง เนื้อสีน้ำตาลเข้ม เนื้อหนาพอสมควร ความหวานและกลิ่นหอมน้อยกว่าพันธุ์หมื่นจง-สีทอง พังพืดหรือเยื่อหุ้มเมล็ดค่อนข้างเหนียว เมล็ดเล็ก เปลือกหนา ลำต้นสีน้ำตาลดำ ใบเล็กสีเขียวเข้ม ใบดก พุ่มแน่นทรงกลม ขนาดสูงปานกลางเป็นมะขามพันธุ์เบา ฝักแก่เก็บได้เร็วประมาณเดือนธันวาคม
4.มะขามพันธุ์ศรีชมพู เป็นมะขามหวานฝักดิ่งหรือฝักตรง ซึ่งต้นเดิมนำมาจากประเทศลาวและปลูกขยายพันธ์จนมีชื่อที่อำเภอเมือง เพชรบูรณ์ ฝักใหญ่และยาวที่สุดในบรรดามะขามหวานฝักตรงด้วยกัน ฝักสีน้ำตาลออกนวลผิวเรียบ เปลือกค่อนข้างบางแตกง่าย เนื้อหนาฉ่ำสีน้ำตาลใสอมเหลือง มีรสหวานปานกลาง รสชาติอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของดินและความสมบูรณ์ของต้น ดังนั้นถ้าจะปลูกพันธ์ศรีชมพูต้องเลือกดินดีมีน้ำพอในฤดูแล้งจึงจะให้ผลดี จัดว่าเป็นมะขามพุ่มขนาดกลาง ทรงรูปไข่ กิ่งก้านนานทึบ ลำต้นหยาบสีน้ำตาลเข้ม ใบใหญ่และดกสีเขียวเข้ม ยอดอ่อนอวบและมีสีแดงแก่เห็นชัดเจน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของพันธุ์ศรีชมภู และเป็นพันธุ์เบา ดกปานกลาง
5.มะขามพันธุ์อินทผลัม เป็นมะขามหวานฝักดิ่งมีฝักขนาดกลางหรืออาจใหญ่พอ ๆ กับพันธุ์ศรีชมพู ฝักอาจโค้งเล็กน้อยไม่ค่อยตรงนัก บางทีฝักอาจจะเป็นเหลี่ยมมีสัน เปลือกค่อนข้างบางสีน้ำตาลแก่ เนื้อหนาเหนียวและฉ่ำสีน้ำตาลเข้มเหมือนเนื้ออินทผลัม มีกลิ่นหอมเล็กน้อย รสหวานปานกลางหรือพอกับพันธุ์ศรีชมพู แต่หวานกว่าพันธุ์ขันตีเป็นมะขามพุ่มขนาดกลางทรงรูปไข่เกือบกลม กิ่งก้านแน่นทึบใบใหญ่และดก ยอดอ่อนสีเขียวครีม ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ ลำต้นหยาบปานกลางแต่ละเอียดกว่าและสีอ่อนกว่าพันธุ์ศรีชมพู เป็นพันธุ์เบาและดกถึงดกปานกลาง เป็นรองพันธุ์น้ำผึ้ง สำหรับมะขามพันธุ์อินทผลัมเวลาเก็บฝักจะต้องให้ฝักแก่จริง ๆ เก็บมาแล้วควรผึ่งอากาศไว้สัก 2-3 วัน จึงค่อยรับประทาน จะทำให้มีรสหวานจัดและกลิ่นหอมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการเลือกที่ปลูกและดูแลรักษานั้นเช่นเดียวกับพันธุ์ศรีชมพู
6.มะขามพันธุ์ขันตี เป็นมะขามหวานฝักดิ่งอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งน่าสนใจเนื่องจากมีความดกเป็นพิเศษ เปลือกหนา เนื้อมาก เมล็ดเล็ก มีรสหวานพอควร ฝักขนาดกลางและตรงสั้นป้อม สีของฝักคล้ายพันธุ์ศรีชมพู แต่เห็นเป็นข้อปล้องชัดกว่าลำต้นค่อนข้างละเอียด สีน้ำตาลอ่อนและขาวนวล มีพุ่มขนาดกลาง ทรงกลม กิ่งก้านแน่นทึบ ใบเล็กหนาและดกสีเขียวเข้ม ยอดสีชมพูอ่อนเป็นมะขามพันธุ์เบาให้ผลตอบแทนสูง
7.มะขามพันธุ์ปากดุก เป็นมะขามหวานฝักดาบ ฝักค่อนข้างสั้น จะโค้งเล็กน้อย สีน้ำตาลปนเทา เปลือกหนา เนื้อหนาและอ่อน รสหวานอร่อยเป็นพันธุ์ค่อนข้างหนักพอกับหมื่นจง มีความดกพอสมควร มีพุ่มขนาดกลาง ทรงรูปไข่เกือบกลม กิ่งก้านพอประมาณไม่ทึบนัก ใบเล็กสีเขียวเข้ม
8. มะขามพันธุ์แจ้ห่ม เป็นมะขามหวานฝักดาบอีกพันธุ์หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงของจังหวัดลำปาง ฝักกลมยาวอาจะเป็นเหลี่ยมนิดหน่อยและโค้งเล็กน้อยเหลือกบาง เนื้อหนาพอสมควรแต่ค่อนข้างแฉะ สีน้ำตาลแดง รสหวานปานกลางหวานจัด ฝักมักจะแตก เป็นเหตุให้เชื้อราเข้าทำลายได้ง่าย เป็นมะขามพันธ์กลางถึงหนักพอกับพันธุ์หมื่นจง แต่ให้ผลดกพอสมควร ทรงพุ่มกลมและใหญ่มีกิ่งก้านพอประมาณ นับว่าเป็นมะขามหวานพันธุ์ดีพันธุ์หนึ่ง

นอกจากพันธุ์ที่กล่าวแล้วยังมีพันธ์มะขามหวานอีกหลายพันธ์ ซึ่งมีข้อดีเสียและคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป

การขยายพันธุ์มะขามหวาน:
มะขามหวานเป็นไม้ผลที่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด, การตอน, การทาบกิ่ง, การติดตา, ต่อกิ่งและแม้กระทั่งการปักชำก็ยังได้ผลดีแต่ต้องมีฮอร์โมนช่วย

การเพาะเมล็ด นิยมกันในสมัยก่อนคนโบราณทำกันมานานแล้วมะขามหวานพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันได้มาจากการเพาะเมล็ดทั้งนั้น แต่ว่าโอกาสที่จะได้พันธุ์ดี ๆ มีน้อย ส่วนใหญ่จะกลายเป็นพันธุ์เลวและต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะให้ผล ต้นสูงใหญ่เกินไปเก็บฝักยาก ปัจจุบันการเพาะเมล็ดไม่ค่อยนิยม
การติดตา เป็นวิธีค่อนข้างจะยาก เนื่องจากมะขามเป็นไม้เนื้อแข็ง เปลือกขรุขระและหยาบ ใบร่วงง่าย มีตาขนาดเล็กแบนราบ เลือกตาลำบากต้องอาศัยความชำนาญและอุปกรณ์ต้องคม จึงไม่ค่อยมีผู้นิยมการติดตามะขามเนื่องจากมีวิธีอื่นที่ทำง่ายกว่า
การต่อกิ่ง เป็นวิธีขยายพันธ์ซึ่งนิยมทำกันแต่ก็ยังน้อยกว่าการทาบกิ่ง วิธีนี้มักกระทำเพื่อเปลี่ยนยอดของต้นเดิมเป็นการเปลี่ยนพันธ์ ซึ่งวิธีการต่อกิ่งทำเช่นเดียวกับมะม่วงหรือไม้ผลอื่น ๆ และควรต่อกิ่งในฤดูที่มะขามพักตัวหรือก่อนที่จะผลัดใบ จะช่วยให้เปอร์เซ็นต์การต่อกิ่งได้ผลดีและระวังอย่าตัดต้นตอให้ต่ำนักหรือ ตัดออกหมดทีเดียวต้นตออาจจะตายได้
การทาบกิ่ง เป็นวิธีที่ง่ายและ นิยมมากที่สุดใช้เวลาในการทาบกิ่งประมาณ 45 – 60 วัน โดยใช้ต้นตอจากการเพาะเมล็ดมะขามเปรี้ยวจะเพาะลงแปลงแล้วขุดใส่ถุงพลาสติก หรือจะเพาะลงถุงเลยก็ได้ อายุของต้นตอ (root stock) ประมาณ 3 เดือนถึง 1 ปี ก็ใช้ทาบได้ ไม่ควรใช้ต้นตออายุมากเกินหรือขนาดใหญ่นักเพราะเนื้อไม้จะแข็งทาบยาก และอาจมีรากไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากรากบางส่วนที่ยาวเกินและโผล่ออกจากถุงต้องถูกตัดออกก่อนเอาต้นตอ ขึ้นทาบกิ่ง ส่วนวิธีการทาบกิ่งนั้นทำเช่นเดียวกับมะม่วงหรือไม้ผลอื่น ๆ ชาวสวนมะขามเพชรบูรณ์ส่วนใหญ่จะขยายพันธุ์มะขามหวานด้วยการทาบกิ่งเพราะว่า ได้ผลดี สะดวก แข็งแรงเจริญเติบโตเร็วและทนแล้ว ตลอดจนให้ฝักเร็วอีกด้วยเพียง 2-3 ปีก็เห็นผล
การตอนกิ่ง เป็นวิธีการขยายพันธุ์มะขามอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเคยใช้กันมาในสมัยก่อนและให้ผลดีพอสมควร ได้ต้นพันธุ์ขนาดค่อนข้างใหญ่และให้ฝักเร็ว ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเพราะว่าต้นมะขามหวานที่ได้จากการตอนไม่มีรากแก้ว ทำให้โค่นล้มง่าย ไม่ทนต่อสภาพแห้งแล้งและดินเลว มดและปลวกรบกวน ตลอดจนการตอนก็ใช้เวลานานและต้องรอให้กิ่งตอนมีรากมากพอจากนั้นจะต้องเอาไป ชำจนตั้งตัวดีแล้วจึงจะนำออกปลูกได้ ช่วงเวลาที่ให้ผลดีในการตอนนั้นสั้นทำได้เฉพาะฤดูฝนและอาจต้องใช้ฮอร์โมน เข้าช่วยด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับการทาบกิ่งแล้ว สู้การทาบกิ่งไม่ได้

การปลูกมะขามหวาน :
มะขามหวานถึงแม้ว่าจะเป็นไม้ผลที่ขึ้น ได้เกือบทุกสภาพท้องที่และทุก ลักษณะ ดินก็ตาม แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องอาศัยเทคนิคต่าง ๆ พอสมควร เช่น การปลูก การดูแลรักษา และการเก็บผล ตลอดจนการเลือกให้พันธุ์อย่างเหมาะสม สำหรับการปลูกมะขามหวานนั้นพอสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้.-
1. การเลือกพันธุ์มะขามและระยะปลูก มะขามหวานแต่ละพันธุ์นั้นมีลักษณะนิสัยและคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนั้นในการเลือกพื้นที่และวางระยะปลูกจึงต้องพิจารณาให้เหมาะสม และคำนึงการใช้เทคนิคทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแผนงานของผู้เป็นเจ้าของส่วนที่ได้วางไว้ด้วย มีหลักการแนะนำเป็นแนวทางดังนี้ .-
1.1 ลักษณะดินและน้ำดี ควรใช้ระยะปลูก 7 x 7 ม. ใช้ต้นพันธุ์จำนวน 32 ต้น หรือระยะ 8 x 8 ม. ใช้ต้นพันธุ์จำนวน 25 ต้น หรือระยะ 10 x 10 ม. ใช้ต้นพันธุ์จำนวน 16 ต้น
1.2 ลักษณะดินไม่ดี ควรใช้ระยะปลูก 5 x 5 ม. ใช้ต้นพันธุ์จำนวน 64 ต้น หรือระยะ 5 x 6 ม. ใช้ต้นพันธุ์ 53 ต้น หรือระยะ 6 x 6 ม. ใช้ต้นพันธ์จำนวน 44 ต้น หรืออาจใช้ระยะปลูก 7 x 7 ม. หรือ 8 x 8 ม. ก็ได
1.3 ลักษณะพันธ์มะขามหวาน มะขามทรงพุ่มกว้างได้แก่ พันธุ์สีทอง, หมื่นจง และแจ้ห่ม ใช้ระยะปลูก 8 x 8 ม´ หรือ 10 x 10 ม. ทรงพุ่มขนาดกลางได้แก่ พันธุ์น้ำผึ้ง, ขันตี, ปากดุก และหลังแตก ใช้ระยะ 7 x 7 ม. หรือ 8 x 8 ม. ส่วนทรงพุ่มขนาดเล็กหรือแคบได้แก่ พันธุ์ศรีชมพู และอินทผลัม ใช้ระยะ 5 x 6 ม. หรือ 6 x 6 ม. หรือ 7 x 7 ม.

ในปัจจุบันนี้มีชาวสวนบางรายปลูกมะขาม หวานระยะประชิดหรือระยะถี่ 3 x 6 ม. หรือ 4 x 5 ม. โดยใช้เทคนิคทางวิชาการแผนใหม่เข้าช่วย เช่นการให้น้ำแบบหยด การให้ปุ๋ย ยา และฮอร์โมน ทางใบ ตลอดจนการตัดแต่งกิ่งไม่ให้โตเกินไป ซึ่งสะดวกต่อการดูแลรักษา การเก็บฝักและสามารถให้ผลผลิตดีมีคุณภาพอีกด้วย
2. การเตรียมดินก่อนจะปลูกมะขามหวานควร จะกำจัดวัชพืชที่จะแย่งอาหาร บดบังแสงหรืออาจเป็นอันตรายต่อต้นมะขาม ตลอดจนเป็นอุปสรรคต่อการปลูกและการดูแลรักษาอื่น ๆ หลุมปลูกควรขุดหลุมกว้าง 50 ซม. ลึก 50 ซม. หรือถ้าดินและน้ำดีอาจหลุมเล็กกว่านี้ จะช่วยให้ประหยัดเงินและแรงงาน แต่ถ้าดินเลวเป็นดินลูกรังกันดารน้ำก็ควรให้หลุมใหญ่ขึ้น ผสมดินปลูกลงในหลุมด้วยแกลบดิบหรือเปลือกถั่วลิสง 2 ส่วน, ปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน และหน้าดิน 1 ส่วน หรือถ้าไม่มีจริงก็ใช้เศษหญ้าใบไม้แห้งกับหน้าดินก็ได้ ดินผสมประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร เติมกระดูกป่นหรือปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟต ½ – 1 กก. ถ้าแหล่งใดดินเป็นกรดควรเติมปูนขาวหรือปูนดินอีก ½ กก. เตรียมหลุมรดน้ำไว้พร้อมที่จะปลูกได้
นำต้นพันธุ์มะขามหวานลงปลูกกลางหลุม ในระดับผิวดินเติมกลบดินโคนต้นให้รอยต่อพ้นดิน อัดดินให้แน่นพอสมควร ให้หลักไม้ปักข้างต้นผูกยึดโคนต้นให้แน่น อาจจะให้ปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยผสม 15-15-15 อัตรา 1 ช้อน รดน้ำให้ชุ่มทั่วหลุมปลูกแล้วคลุมโคนต้นด้วยฟางหรือเศษหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชขึ้นแซม ควรปลูกต้นต้นฤดู หรือถ้ามีน้ำพอก็สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล

การดูแลรักษา:
การดูแลรักษาหลังปลูก ในระยะ 1-2 ปีแรกหรือขณะที่ต้นมะขามหวานยังเล็กอยู่ ควรดูแลรักษาให้ดี อาจรดน้ำให้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในฤดูแล้งหรือเมื่อฝนไม่ตกและกรีดพลาสติกที่พันรอยต่อของกิ่งทาบหลังจากปลูก แล้ว 1-2 เดือน ถ้าไม่เอาออกต้นจะคอดไม่โตหรืออาจจะหักโคนตรงรอยต่อได้ คอยริดและทำลายตาข้างที่แตกออกมาจากต้นตอ (root stock)
หมั่นพรวนดินกำจัดวัชพืช และคลุมโคนต้นด้วยอินทรียวัตถุหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นไว้ป้องกันไฟป่าในฤดูแล้ง และให้ปุ๋ยคอก แกลบเผา หรืออินทรียวัตถุอื่น ๆ ในต้นฤดูฝนควรเร่งให้ต้นมะขามโตเร็วด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 30-20-10 หรือ 15-15-15 ถ้ามีแมลงรบกวน กัดกินใบยอดอ่อนใช้ยาเซฟวิน 85 พ่นให้ทั่วต้น ส่วนโรคราแป้งและโรคใบจุดใช้ยาโลนาโคลหรือดาโคนิล พ่นทุกสัปดาห์จนกว่าจะหายหรือพ่นป้องกันเดือนละครั้ง และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับโรคแมลงรบกวนมาก ๆ ให้รีบปรึกษาสำนักงานเกษตรหรือหน่วยปราบศัตรูพืชที่อยู่ใกล้

การดูแลและบำรุงรักษา:
เมื่อต้นมะขามโตและให้ผลแล้ว หลังจากปลูกมะขามหวานด้วยกิ่งทาบประมาณ 2-3 ปี มะขามจะเริ่มให้ผลผลิตโดยจะออกดอกในต้นฤดูฝนและฝักจะแก่เก็บได้ในฤดูแล้ง ดังนั้นเกษตรกรที่จะปลูกมะขามหวานเป็นอาชีพ ควรจะวางแผนบำรุงรักษาต้นมะขามหวานดังนี้.-
1. การให้น้ำ ควรให้น้ำต้นมะขาม ทันทีหลังจากเก็บฝักและตัดแต่งกิ่งแล้ว เพื่อมะขามจะได้ผลิใบใหม่ออกดอกเร็วขึ้น และออกดอกพร้อมกัน ทำให้ฝักแก่เก็บได้เร็วขึ้นอีกด้วย ควรให้น้ำทุกครั้งเมื่อมีการให้ปุ๋ยทางดินและให้บ้าง ขณะติดฝักอ่อนในช่วงที่ฝนทิ้งระยะ หรือดินมีความชื้นน้อย และหยุดการให้น้ำเมื่อฝักเริ่มแก่
2. การใส่ปุ๋ย มะขามหวานนั้นต้องการปุ๋ยเช่นเดียวกับไม้ผลอื่น ๆ ถึงแม้ว่ามะขามจะเป็นพืชที่หาอาหารเก่งหรือเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดินก็ ตาม แต่ถ้าไม่ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม หรือให้ปุ๋ยไม่ถูกจังหวะ ไม่ถูกสูตรและไม่พอกับความต้องการแล้วอาจทำให้ผลผลิต และคุณภาพของมะขามหวานไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการใส่ปุ๋ยจึงควรพิจารณาให้ดังนี้.-

2.1 ใส่ปุ๋ยคอก หรืออินทรียวัตถุ และกระดูกป่น หรือปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟต เป็นประจำทุกปี ตอนต้นฤดูฝน ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของทรงพุ่ม และความสมบูรณ์ของดิน
2.2 ใส่ปุ๋ยเคมี ที่มีไนโตรเจนสูง เพื่อเร่งให้ต้นสมบูรณ์พร้อมที่จะออกดอก โดยใช้ปุ๋ยสูตร 30-20-10 ก่อน พอต้นสมบูรณ์แล้วตามด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือสูตร 15-30-15 การใส่ปุ๋ยให้ใส่เป็นรางดินรอบ ๆ โคนต้นตามปลายร่มเงาของทรงพุ่ม และก่อนออกดอกราวเดือนพฤษภาคม ใช้ปุ๋ยเกล็ดหรือปุ๋ยเกล็ดหรือปุ๋ยน้ำสูตรตัวกลางสูง เช่นสูตร 15-30-15 หรือ 12-27-23 หรือ 10-45-10 (ถ้ามะขามสมบูรณ์เกินไป) โดยพ่นปุ๋ยให้ทางใบและจะใช้ฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์ (Planofix) ซึ่งมีสารออกฤทธิ์คือ 1-Naphthylacetic acid (NAA) ผสมสารจับใบพืชพ่นให้อีกเพื่อช่วยให้การติดดอกและฝักอ่อนดีขึ้น ในช่วงที่มะขามหวานเป็นฝักอ่อน ควรให้ปุ๋ยบำรุงฝักสักระยะหนึ่ง จนถึงก่อนฝักมะขามโตเข้าระยะคาบหมู จึงให้ปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซี่ยมสูง เช่นสูตร 13-13-21 หรือสูตร 9-24-24 หรือปุ๋ยเกล็ดสูตร 12-22-32 หรือ 10-20-30 พ่นทางใบร่วมกับยากันเชื้อราและยาป้องกันกำจัดแมลงเจาะฝัก ปุ๋ยดังกล่าวจะให้ธาตุโปแตสเซี่ยมและฟอสเฟตสูง ช่วยให้ขนาดฝัก คุณภาพของเนื้อมะขามและความหวานดีขึ้น

ปริมาณของปุ๋ยเคมีที่ให้ทางพื้นดินแก่ ต้นมะขามนั้น พิจารณาจากอายุ และขนาดทรงพุ่ม อาจจะให้ปุ๋ยต้นละ 1-2 กก.ต่อปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง แล้วให้น้ำทุกครั้งเมื่อใส่ปุ๋ย

การตัดแต่งกิ่งมะขาม:
การตัดแต่งกิ่งมะขาม ถือว่าเป็นเทคนิคทางวิชาการที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ เพิ่มความสะดวกในการดูแลรักษาและเก็บผล การตัดแต่งจะกระทำหลังจากเก็บฝักมะขามเรียบร้อย โดยตัดแต่งกิ่งที่แน่นทึบกลางพุ่ม กิ่งที่เป็นโรคหรือแห้งตายหรือกิ่งกระโดง และตัดกิ่งยอดที่สูงเกินไปออก เพื่อควบคุมความสูงหรือตัดแต่งกิ่งที่ห้อยย้อยลงต่ำเกินไปออก ควรทาแผลหรือรอยตัดด้วยยาป้องกันเชื้อโรค หรืออาจใช้ปูนขาวผสมน้ำทาบริเวณรอยบาดแผล

การเก็บผลหรือฝักมะขามหวาน:
มะขามหวาน จะแก่เก็บได้ในฤดูแล้งประมาณเดือนธันวาคม-มีนาคม ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพดินฟ้าอากาศ ปีใดฝนตกต้นฤดูและหมดเร็วมะขามก็จะแก่เร็ว และพันธุ์เบา ฝักเล็ก คุณภาพปานกลาง จะแก่เก็บได้ก่อนส่วนพันธุ์ดี ๆ นั้นจะเก็บได้ตอนกลางฤดู คือประมาณเดือนมากราคม-กุมภาพันธ์ หรือต้นมีนาคม
การเก็บฝักมะขาม ต้องพิจารณาดูเป็นต้น ๆ หรือเป็นฝัก ๆ ไปบางทีอาจจะแก่เก็บได้ไม่พร้อมกัน ฝักปลาย ๆ หรือด้านนอกพุ่มมักจะแก่ก่อนโดยสังเกตจากสีของฝัก ความเหี่ยวของก้านฝัก และลักษณะอื่น ๆ ซึ่งต้องใช้ความชำนาญ หรือประสบการณ์ จะต้องเก็บทีละฝัก โดยใช้มีดหรือกรรไกรตัดออกจากต้น นำฝักมะขามหวานที่เก็บได้ไปกองผึ่งอากาศไว้สัก 2-3 วัน เพื่อให้ความชื้นในฝักมีอยู่พอสมควร จึงทำการตัดแต่งก้านหรือขั้วฝักแล้วบรรจุภาชนะจำหน่ายได้ มะขามจัดว่าเป็นผลไม้รับประทานสดที่สามารถเก็บไว้ได้นานที่สุด และสามารถแปรรูปเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้หลานอย่าง เช่น มะขามแช่อิ่ม มะขามเปียก แยมมะขาม มะขามคลุก ท๊อปฟี้มะขาม น้ำมะขามเข้มข้น และไวน์มะขาม


การเก็บรักษาฝักมะขามหวาน มะขามถึงแม้ว่าจะเป็นผลไม้ที่เก็บไว้รับประทานได้นานก็ตามแต่ถ้าต้องการเก็บ ไว้นานมาก ๆ เนื่องจากผลผลิตมากเกินไป จำหน่ายไม่หมด หรือเพื่อรอตลาด ควรมีการเก็บรักษาให้ถูกวิธี แนวทางการเก็บรักษาฝักมะขามหวานที่ชาวสวนมะขามหวานเพชรบูรณ์ใช้กันและได้ ผลดีคือ การอบด้วยไอน้ำเดือดหรือหรือการนึ่งฝักมะขามโดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับ ขนาดของฝักพันธุ์มะขาม และปริมาณของฝักที่ใช้อบ ตลอดจนอุปกรณ์และเชื้อเพลิง ซึ่งอาจจะนำไปอบไอร้อนเพื่อลดความชื้นในฝัก ทำให้ฝักแห้ง จากนั้นบรรจุมะขามลงในโอ่งเคลือบที่แห้งและสะอาด คลุมด้วยผ้าพลาสติกแล้วปิดฝาทับอีกให้มิดชิด กันอากาศเข้า หรือจะบรรจุใส่ถึงพลาสติกหนา เย็บปากถุงให้สนิทก็ได้ผลเช่นกัน วิธีดังกล่าวจะช่วยทำลายไข่และตัวแมลง ตลอดจนเชื้อราต่าง ๆ ที่ติดมากับฝักมะขามให้หมดไป สามารถเก็บไว้ได้นานตามต้องการหรืออาจจะเป็นแนวทางที่จะช่วยให้สามารถส่งฝัก มะขามหวานไปจำหน่ายยังตลาดอันห่างไกลจากพื้นที่ปลูกได้

การป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูมะขามหวาน:

แมลง แมลงศัตรูมะขามที่สำคัญและทำความเสียหายให้ได้แก่.-
1. แมลงนูนหรือแมลงปีกแข็ง กัดกินใบอ่อนและดอก จะระบาดในระยะมะขามผลิใบอ่อน และออกดอก แมลงจะทำลายในตอนเย็นหรือกลางคืน ควรใช้ยาเซฟวิน 85 พ่นขณะที่มีการระบาด ควรพ่นยาในตอนเย็นให้ถูกตัวแมลง และพ่นยาป้องกันไว้ทุกเดือน
2.หนอนคืบสีเท่า เป็นศัตรูสำคัญ ทีทำความเสียหายให้แก่สวนมะขาม ตัวหนอนจะระบาดในช่วงฤดูฝนระยะมะขามกำลังผลิใบจวนแก่และกำลังออกดอก ถึงติดฝักอ่อน หนอนจะอยู่ใต้ใบ กัดกินใบ ดอก และฝักอ่อน ทั้งกลางวันและกลางคืน และจะชักใยทิ้งตัวลงเมื่อได้รับความกระเทือนควรใช้ยาแลนเนท หรือเซฟวิน 85 พ่นให้ถูกตัว และควรพ่นยาป้องกันไว้เมื่อถึงระยะการระบาด
3. หนอนเจาะฝัก จะเข้าทำลายโดยเจาะฝักมะขาม ตั้งแต่ฝักเริ่มอายุ 2 เดือนขึ้นไป ทำให้ฝักเสียหายมาก ควรใช้ยาอโซดริน หรือคาร์โบน๊อกซ์ พ่นป้องกันและกำจัด ซึ่งยาดังกล่าวสามารถป้องกันกำจัดพวกเพลี้ยแป้ง และเพลี้ยหอย ได้อีกด้วย

โรคมะขามหวาน
มะขามหวานมีโรครบกวนค่อนข้างน้อย อาจจะมีบ้างในบางท้องที่หรือบางปี และส่วนใหญ่เกิดกับมะขามในแปลงขยายพันธุ์ สำหรับต้นใหญ่มักพบกับต้นที่ได้รับไนโตรเจนมาก และในช่วงแตกใบอ่อนได้แก่.-

1.โรคราจุดสีดำ(Black Spot) จะระบาดในช่วงฤดูฝนอากาศมีความชื้นสูง หรือร้อนชื้นมาก โดยจะทำความเสียหายให้กับใบอ่อนและยอดอ่อน เป็นจุดสีดำ ทำให้ใบร่วงหรือเสียหาย การป้องกันกำจัดควรหยุดให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง และใช้ยาโกรแรม-คอมบี้ หรือเบนแลทหรือดาโคนิล พ่นกำจัดและป้องกัน
2. โรคราแป้ง (Powdery mildew) จะระบาดในช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว หรือเมื่อมีอากาศเย็นชื้น โรคนี้ระยาดรุนแรง ทำความเสียหายให้ทั้งในแปลงขยายพันธุ์ และแปลงปลูก หรือต้นมะขามที่ให้ผลแล้ว โรคนี้เกิดที่ใบอ่อน หรือยอดอ่อน ทำให้ใบบิดงอ และร่วง มะขาม ชงักการเจริญ มีผลต่อคุณภาพของฝักด้วย การป้องกันกำจัด หยุดการให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง ตัดยอดหรือส่วนที่เสียหายทิ้ง และใช้ยาไดเทนเอม 45 หรือโลนาโคล หรือโกรแรม-คอมบี้ หรือ มิลเดก หรือคาราเทน พ่นกำจัดและป้องกัน

ขอขอบคุณแหล่งความรู้จาก  
ร่ำลือกันว่ามะขามเมืองเพชรบูรณ์หวานอร่อย ลองแล้วจะติดใจ วันนี้ได้อาศัยร่มเงามะขามต้นใหญ่ไร่จ่าจินต์มีอยู่สี่ต้นมั๊ง  ได้นั่งกินผัดไท และพักเหนื่อยจากการปลูกป่าโอเคเนชั่น ที่ต้นมะขามต้นนี้แหละ



ดอก มะขามยามบานเต็มต้นก็สวยละลานตาไม่ใช่น้อย นอกจากใช้ยอดต้มไก่ใบมะขามแสนอร่อย ฝักมะขามก็รับประทานกันเพลินใจ ใช้ทำมะขามเปียก (คงต้องมะขามเปรี้ยวแล้วละ) ก็ปรุงอาหารได้แซบหอมชื่นใจ



ต้นไม้ใหญ่แบบนี้ปลูกในบ้านจัดสรรลำบากก็คอยตัดคอยดัดให้แคระ ๆ แกรน ๆ ปลูกในกระถางเป็นไม้ดัดไปเลย


ชาวบ้านคนท้องถิ่นกับบล็อกเกอร์โอเคเนชั่นช่วยกันปลูกป่า
เรื่องเด่นพรุ่งนี้ "ป่าโอเคเนชั่น ฉันปลูกเธอด้วยหัวใจ"
http://www.mof.or.th/fruit/f18.gif
Add caption
มะขาม ( Tamarind )

http://www.mof.or.th/fruit/tamarind-1.jpg
   
ชื่อวิทยาศาสตร์
     

Tamarindus indica Linn.
      ชื่อสามัญ
      Tamarind
      ชื่อท้องถิ่น
     

• ภาคกลาง เรียก มะขามไทย
      • ภาคใต้ เรียก ขาม
      • นครราชสีมา เรียก ตะลูบ
      • กะเหรี่ยง – กาญจนบุรี เรียก ม่วงโคล้ง
      • เขมร – สุรินทร์ เรียก อำเปียล
      ลักษณะพันธุ์
     

มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นขรุขระและหนาสีน้ำตาลอ่อน ใบเป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง หนึ่งช่อมี 10-15 ดอก ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดงอยู่กลางดอก ผลเป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว  3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยวและหวาน
   
การปลูก
      มะขามขึ้นได้กับดินทุกชนิด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ในดินเหนียวทนแล้งได้ดี เหมาะที่จะปลูกในฤดูฝน ใช้กิ่งพันธุ์ปลูกโดยการขุดหลุมและใส่ปุ๋ยที่ก้นหลุมก่อน ดูแลรักษาเหมือนกับพืชทั่วไป นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและไม่ทำให้กลายพันธุ์
     
     
ตลาดผลไม้
     

   
1.  ตลาดส่งออก 
    เพิ่มขีดความสามารถส่งออก
      มาตรการกีดกันทางการค้า
      กฏระเบียบอาหารปลอดภัยของ UE
      ระบบความปลอดภัยอาหารของคู่ค้า
      ระบบความปลอดภัยอาหารของไทย
      ตรวจสอบตลาดญี่ปุ่น
      พิกัดผลไม้
      รายชื่อ web กฏหมายอาหารของต่างประเทศ
      web กฏหมายอาหารต่างประเทศ (ต่อ)
     
     
    2.  ตลาดภายในประเทศ
      กองส่งเสริมระบบตลาด
      ข้อมูลตลาด จ.ราชบุรี
      ข้อมูลสำนักงานสถิติ
      ตลาดกลางสินค้าเกษตร
      ตลาดข้อตกลง
      ตลาดผลไม้
      ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
      เปิดสู่ตลาดเกษตรล่วงหน้า
      ศูนย์กลางตลาดสินค้าเกษตร
      ศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก
      สถิติราคาผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง ปี 2544 / 2545 / 2546 / 2547 / 2548 / 2549
      สำมะโนเกษตร พืชยืนต้น ปี 2546
      สำมะโนเกษตร ไม้ผลและสวนป่าปี 2546
      ราคาตลาดสี่มุมเมืองสินค้าอัพเดทประจำวัน
   
    3.  ผลไม้ส่งออก
    สถิติการส่งออกสินค้าหลัก
    สรุปสถานการณ์นำเข้า-ส่งออกผลไม้ระหว่างไทย-จีน
      มูลค่าส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรกรรมทั้งหมด รายเดือน ปี 2543 - 2549
      มูลค่าส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรกรรมทั้งหมด รายเดือน ปี 2547 - 2548
    4.  ราคาผลไม้
   
ราคาปลีก 2548

      สถิติราคาผลไม้สี่มุมเมืองปี 2544 / 2545 / 2546 / 2547 / 2548 / 2549
      ข้อมูลเกษตร
      ข่าวสินค้าเกษตร (กรมวิชาการเกษตร)
      ราคาสินค้าเกษตร (กรมการค้าภายใน)
      ราคาผัก-ผลไม้ตลาดไท
      ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา ปี 2547
      ดัชนีราคาสินค้าเกษตรกรที่เกษตรกรขายได้ประจำเดือน ตุลาคม 2550
      ดัชนีราคาที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา และดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ เดือนพฤศจิกายน 2550
    5.   มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร
    มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร
   
     
    6.   งานวิจัย
    การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอุตสาหกรรมผัก ผลไม้อบกรอบ
    7.  งานวิเคราะห์
    ผลไม้สด ผลไม้ของประเทศจีน / อุตสาหกรรมผลไม้ของประเทศไทย
    8.   ข้อมูลการเกษตร
      สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    การปลูกมะขาม
    ถิ่นกำเนิด / ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ / ลักษณะของฝัก
      พันธุ์มะขาม / ดินปลูกมะขาม / การขยายพันธุ์ / การปลูกมะขาม
      การเก็บเกี่ยว / ผลผลิต / การดูแลรักษาต้นมะขาม หลังฤดูการเก็บเกี่ยว
      การดูแลรักษา :
      การให้น้ำ / การกำจัดวัชชพืช / การใส่ปุ๋ย
      โรคและแมลง :
      โรคราแป้งของมะขาม / หนอนเจาะลำต้นและกิ่ง
      หนอนเจาะฝัก / หนอนปลอก / หนอนบุ้ง /
      เพลี้ยต่าง ๆ / ไร
     

กรมส่งเสริมการเกษตร ศูนย์ส่งเสริมและผึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ
สำนักส่งเสริมและผึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนนครปฐม
      มะขาม

มะขาม

ชื่อวิทยาศาสตร์

Tamarindus indica Linn.

ชื่อวงศ์

Leguminosae

ชื่อท้องถิ่น

  • ภาคกลาง เรียก มะขามไทย
  • ภาคใต้ เรียก ขาม
  • นครราชสีมา เรียก ตะลูบ
  • กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก ม่วงโคล้ง
  • เขมร-สุรินทร์ เรียก อำเปียล

ลักษณะทั่วไป

มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ดอก ออกเป็น ช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง หนึ่งช่อมี 10-15 ดอก ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และหวาน

การปลูก

มะขามขึ้นได้กับดินทุกชนิด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนในดินเหนียวทนแล้งได้ดี เหมาะที่จะปลูกในฤดูฝน ใช้กิ่งพันธุ์ปลูกโดยการขุดหลุมและใส่ปุ๋ยที่ก้นหลุมก่อน ดูแลรักษาเหมือนกับพืชโดยทั่วไป นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและไม่ทำให้กลายพันธุ์

สรรพคุณทางยา

  • ยาระบาย แก้อาการท้องผูก ใช้มะขามเปียกรสเปรี้ยว 10–20 ฝัก (หนัก 70–150 กรัม) จิ้มเกลือรับประทาน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ หรือต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อยดื่มเป็นน้ำมะขาม
  • ขับพยาธิไส้เดือน นำเอาเมล็ดแก่มาคั่ว แล้วกะเทาะเปลือกออก เอาเนื้อในเมล็ดไปแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20-30 เม็ด
  • ขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทานพอสมควร

คุณค่าทางโภชนาการ

ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามินเอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝัก มะขามที่แก่จัด เรียกว่า มะขามเปียก ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย

คติความเชื่อ

ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้อง กันสิ่งไม่ดี ผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม

ดอกมะขาม

ดอกมะขาม
มะขาม


          ผล วิจัย ชี้ เมล็ดมะขาม มีประโยชน์มาก ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัส และยังยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย ยืนยัน ไม่มีพิษต่อร่างกาย

          ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 9 "การนวดไทย มรดกไทยสู่มรดกโลก" ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 กันยายน รศ.พร้อมจิต ศรลัมภ์ อาจารย์ประจำสำนักงานข้อมูลสุมนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิล ได้แถลงข่าว "รวมพลคนต้านมะเร็งจากสหวิชาชีพ" เกี่ยวกับผลวิจัยเรื่องเมล็ดมะขาม ที่พบว่า มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังสามารถยับยั้งการเกิดเซลล์เนื้องอกมะเร็งได้

          โดย รศ.พร้อมจิต กล่าวว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศหลายชิ้นที่ได้วิจัยเกี่ยวกับเมล็ดมะขาม พบว่า ในเนื้อเมล็ดมะขามมีไขมันและโพลีแซคคาไลด์ ซึ่งโพลีแซคคาไลด์นี้มีฤทธิ์ เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมันจะไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส

เมล็ดมะขาม

          นอกจากนี้ สารโพลีแซคคาไลด์ ยังเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ไม่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานเหมือนน้ำตาลโมเลกุลคู่อย่างกลูโคส โดยจากการทดลองพบว่า เมล็ดมะขามสามารถรักษาภาวะเบาหวานของหนูทดลองได้ ส่วนเปลือกเมล็ดมะขามที่มีสีน้ำตาล มีสารแทนนินที่ไม่ละลายน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 35 สามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคได้

          ส่วนเรื่องความเป็นพิษต่อร่างกายนั้น รศ.พร้อมจิต เปิดเผยว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศเคยทดสอบ เพื่อหาว่าเมล็ดมะขามมีพิษต่อร่างกายหรือไม่ ซึ่งได้ทดสอบทั้งพิษแบบเฉียบพลัน และพิษระยะยาว 3-4 เดือน แต่ก็ไม่พบว่าเมล็ดมะขามทำให้เกิดพิษในร่างกาย ดังนั้น จึงสามารถทานเมล็ดมะขามได้เหมือนอาหารอย่างหนึ่ง

          อย่างไรก็ตาม อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ยังย้ำว่า ควรทานอาหารอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ไม่ใช่ทานเมล็ดมะขามเพื่อป้องกันมะเร็งเพียงอย่างเดียว

มะขาม มะขาม (Tamarind)
เรื่องมะขาม มีคติความเชื่อว่า มะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีคนเกรงขาม ยำเกรง
สรรพคุณ เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก แก้ไอ และแก้หวัดคัดจมูก มีวิตามินซี ช่วยให้ ฟันและเหงือกแข็งแรง และทำให้ผิวพรรณดี


การปรุงรสมะขามให้ได้รสชาด และถนอมอาหารเก็บไว้ได้นาน มะขามแก้ว
ส่วนผสม
  • มะขามเปียกใหม่ๆ แกะเมล็ดสับละเอียด 1 1/4 ถ้วย
  • น้ำเย็น 1 ถ้วย
  • เกลือป่น 4 ช้อนตวง
  • พริกขี้หนูสดโขลกละเอียด 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 9 ถ้วย
วิธีทำ
  1. ละลายมะขามกับน้ำเย็น เทใส่กระทะตั้งไฟ พอมะขามละลายดีใส่เกลือป่น พริกขี้หนูโขลก น้ำตาลทราย 3 ถ้วย เคี่ยวให้เหนียวจนเป็นยางมะตูม
  2. เติมน้ำตาลทีละถ้วย และสองถ้วย จนครบ 8 ถ้วย คนให้เข้ากันดี
  3. ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นเม็ดกลมๆขนาดตามต้องการ คลุกกับน้ำตาลทราย อีกครั้ง เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด หรือจะห่อกระดาษแก้วก็ได้
น้ำพริกมะขามสดผัด
เครื่องปรุง มะขามสดอ่อน หมู กุ้งแห้ง กะปิดี กระเทียม พริกเหลือง พริกขี้หนู ถ้าคนแพ้กุ้งใช้ปลากรอบแทนได้ เกลือ น้ำปลาดี น้ำตาลปีบ น้ำมันหมู ปูเค็ม หรือแมงดา
วิธีทำ ล้างมะขามให้สะอาด ตำกับเกลือนิดหน่อยให้ละเอียด ป่นกุ้งแห้งไว้ สับหมูไว้ เอากระเทียมตำกับกะปิดี พริกขี้หนู พริกเหลือง ใส่มะขามสดที่ตำไว้ลงไปใส่กุ้งแห้งตำหยาบๆ ปรุงรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ให้ครบ 3 รส ถ้าจะใส่ปูเค็มไม่ต้องเอาไปผัด ฉีกปูเคล้าลงไปเลย ก็กินได้แล้ว ถ้าจะผัด ก็เอาน้ำมันใส่กระทะ เอาน้ำพริกที่ตำไว้เคล้ากับหมูสับผัดลงไป ถ้าสุกจะหอม ถ้าจะใส่แมงดา ก็หั่นแมงดามาเคล้าตอนนี้ อย่าเอาแมงดาไปผัด จะไม่หอม


เครื่องแกล้ม ปลาทูทอด เนื้อเค็มฉีกเป็นเส้น คั่วให้กรอบ ใส่น้ำตาลทราย ไข่กับหมู 3 ชั้นพะโล้ หัวไชโป๊ต้มกับกะทิใส่น้ำตาล นิดหน่อย เคี่ยวแห้ง กากหมูจากมันแข็งเจียวให้แห้งใส่น้ำตาล ใบทองหลางลายทอดกรอบ กินทุกอย่างตามที่เขียนมาจึงเรียกกินครบเครื่องของน้ำพริกมะขามสด
ผักที่ใช้กิน สายบัว มะเขือ แตงกวา ขมิ้นขาว ผักใบทุกอย่างที่ชอบกินได้

น้ำมะขาม

นำมะขามสดไปลวกในน้ำต้มเดือด ตักขึ้น แกะเอาแต่เนื้อมะขาม นำไปต้ม กับน้ำตาลส่วนผสมให้เดือด เติมน้ำเชื่อม เกลือชิมรสตามชอบ แต่ถ้าใช้มะขามเปียก ควรแช่น้ำไว้สัก 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้มะขามเปียก เปื่อยยุ่ยออกมารวมกับน้ำ ก่อนนำไปต้มจนเดือดแล้วปรุงด้วยน้ำเชื่อมและเกลือ

มะขาม คุณค่าทางอาหารของมะขาม
มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และ มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก รวมทั้งแก้กระหายน้ำ ช่วยขับเสมหะแก้ไอ เป็นยาระบายท้อง ช่วยการขับถ่ายได้ดี ลดอาการโลหิตจาง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

มะขาม



มะขาม เป็นยาดีและเครื่องสำอางชั้นยอด และยังเป็นพืชพื้นบ้านไทยที่ส่วนใหญ่ใช้ปรุงอาหาร ยกเว้นมะขามหวานที่ทานสด แต่มะขามเปรี้ยวถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่า เพราะความเปรี้ยวนั่นเองที่ทำกับข้าวได้อร่อยได้รสชาติต่างจากน้ำมะนาว

ในมะขามอุดมด้วยวิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และยังมีกรดผลไม้หลายชนิดเช่น กรดซิตริก กรดทาทาริค เป็นต้น ที่สำคัญมีวิตามินเอ และวิตามินซีสูง
มะขามนอกจากจะใช้ปรุงอาหารแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยา คนที่เป็นหวัดนานๆ ไม่หายสักทีลองรับประทานมะขามดูสัก 2-3 ฝัก หรือทำน้ำมะขามดื่ม รับรองหายไข้แน่ นอนเลยคะ เพราะมีสรรพคุณลดอุณหภูมิในร่างกายได้ดีอีกด้วย หวัดหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังทำให้ชุ่มคอชื่นใจ หายเจ็บคอ ช่วยขับเสมหะอีกต่างหาก เหมาะมากกับช่วงฤดูฝนเช่นนี้ นอกจากนี้มะขามยังเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย
มาถึงวันนี้ความลับอันทรงคุณค่าของมะขามเพิ่งถูกค้นพบและดึงออกมาเป็นจุดเด่นใหม่ คือมะขามอุดมด้วยสาร AHA (Alpha hydroxyl acids)

คือกรดผลไม้ เหมือนที่มีในแอปเปิ้ล องุ่น กระทั่งในนมก็มี สรรพคุณของ AHA คือช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไปเร็ว เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ยิ่งในมะขามอุดมด้วยวิตามินซีมากก็จะช่วยบำรุงผิวด้วยอีกทางหนึ่ง

คนไทยสมัยก่อนจึงนิยมนำน้ำมะขามเปียกคั้นแล้วมาทาใบหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็จะได้ผิวหน้านุ่ม ใส ไร้สิว

ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางที่กำลังเน้นไปที่การใช้สมุนไพรไทยเป็นจุดขาย จึงหันมาจับมะขามใส่หลอดแล้วจำหน่ายในรูปแบบของครีมล้างหน้า หรือครีมพอกหน้า บ้างก็ผสมไปกับขมิ้นชัน และน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มสรรพคุณบำรุงผิว

แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับคนที่ใช้มะขามบำรุงผิวหน้าคือระวัง เข้าตา กรดในมะขามทำให้แสบตาได้แบบไม่ลืมเลย สำหรับบางคนอาจจะแพ้สารในมะขามได้บ้าง โดยจะรู้สึกผิวแสบร้อนแบบนี้ก็ไม่ควรใช้
มะขามพืชไทยราคาถูก เปี่ยมสรรพคุณทรงคุณค่า ใช้ได้ทั้งกินทั้งทา สารพัดประโยชน์เช่นนี้ คงต้องรีบซื้อหามาติดบ้านไว้ หรือไปหามาปลูกสักต้นก็ไม่เลว
มะขามหวานเพชรบูรณ์

มะขามหวานเป็นพืชเอกลักษณ์และพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเพชรบูรณ์มาแต่ดั้งเดิมจนได้ชื่อว่า เมืองมะขามหวาน เมื่อเอ่ยถึงเมืองมะขามหวานประชาชนโดยทั่วไปก็เข้าใจเป็นอย่างเดียวกันว่าหมายถึง เมืองเพชรบูรณ์ มะขามหวานของจังหวัดมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์หมื่นจง พันธุ์สีทอง (พันธุ์นายหยัด) พันธุ์ อินทผาลัม พันธุ์สีชมภู พันธุ์ปากดุก พันธุ์นายเบื้อง พันธุ์หลังแตก พันธุ์น้ำผึ้ง พันธุ์โป่งตูม พันธุ์ผู้ใหญ่มา เป็นต้น




พันธุ์หมื่นจง ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ ๕ ตำบลหล่มเก่า (เยื้องวัดสระเกศ) อายุประมาณ ๑๕๐ ปี ปลูกโดย หมื่นจงประชากิจ (ฉิม พุทธสิมมา) ไม่มีหลักฐานว่าหมื่นจงประชากิจได้นำพันธุ์มาจากที่ใด ปัจจุบันโคนต้นโต ประมาณ ๓ คนจับมือกันจึงจะรอบต้น กิ่งก้านถูกตัดทิ้งมากเพราะปกคลุมหลังคาบ้าน และยังได้ผลอย่าง สม่ำเสมอ ลักษณะฝักโค้งเกือบครึ่งวงกลม มีความหวานจัด มีน้ำตาลร้อยละ ๔๒ และมีกรดทาทาริคร้อยละ ๑.๙๐

พันธุ์สีทอง (พันธุ์นายหยัด) เป็นพันธุ์ที่กลายมาจากพันธุ์หมื่นจง กล่าวคือ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๓ นายหยัด กองมูล ได้นำเมล็ดมะขามหวานพันธุ์หมื่นจงไปปลูกในที่ดินของตนประมาณ ๒๐ เมล็ด หลังจาก นั้นประมาณ ๗ ปี จึงมีผลปรากฎว่าเปรี้ยวที่สุด ๑๗ ต้น เปรี้ยวอมหวาน (มะยงชิด) ๑ ต้น หวานแต่ฝักเล็ก ๑ ต้น หวานจัดฝักใหญ่ที่สุด ๑ ต้น ต้นนี้คือ มะขามหวานต้นตระกูลพันธุ์สีทอง หรือพันธุ์นายหยัด ลักษณะใบ ใหญ่หนา ถ้าสมบูรณ์เต็มที่เกือบเท่าใบแค ยอดอ่อนออกใหม่ออกสีชมภู-แดง ฝักกลม ฝักใหญ่มากโค้งเล็ก น้อย โค้งเป็นครึ่งวงกลมบ้าง ลักษณะเนื้อค่อนข้างเหลืองเนื้อล่อนหนา รสหวานสนิท มีน้ำตาลร้อยละ ๔๒- ๔๔ จำนวนฝักต่อกิโลกรัม ๓๐-๓๕ ฝัก

พันธุ์อินทผาลัม เป็นมะขามพันธุ์เบา ฝักตรงโค้งนิด ๆ รสเปรี้ยวนิด ๆ ต้นเดิมอยู่ที่บ้านหนองเล ตำบล หินฮาว อำเภอหล่มเก่า ฝักจะสุกระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม

พันธุ์ประกายทอง มะขามหวานพันธุ์นี้แต่เดิมชื่อพันธุ์ตาแป๊ะ ปลูกครั้งแรกอำเภอชนแดน จังหวัด เพชรบูรณ์ ลักษณะประจำพันธุ์ มะขามหวานพันธุ์นี้เป็นพันธุ์กลางออกดอกและติดฝักในเดือนพฤษภาคม ฝักยาวใหญ่โค้งงอไม่มีเหลี่ยม เมื่อฝักสุกเปลือกจะบางเป็นสีน้ำตาล เนื้อฉ่ำเป็นทรายหนามีสีน้ำผึ้ง เมล็ดเล็ก ฝักสุกในเดือนมกราคม

พันธุ์ศรีชมภู มะขามหวานพันธุ์นี้ นายอุดม ศรีชมภู ครูใหญ่โรงเรียนบ้านโคก ตำบลน้ำร้อน อยู่บ้าน เลขที่ ๙๗/๑ หมู่ ๒ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้ตั้งชื่อมะขามพันธุ์นี้ ลักษณะประจำพันธุ์ มะขาม หวานพันธุ์นี้เป็นพันธุ์เบา ฝักตรงกลมใหญ่แบนเหมือนท้องปลิงหรือฝักตรง เริ่มออกฝักในเดือนพฤษภาคม ฝัก สุกมีสีน้ำตาล เปลือกบางเนื้อหนาสีน้ำตาลอมเหลืองเมล็ดเล็กและล่อน รสชาติหวานกรอบ ฝักสุกในเดือน ธันวาคม

พันธุ์ปากดุก มะขามหวานพันธุ์นี้เดิมปลูกที่บ้านคลองปากดุก ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง อำเภอ หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ลักษณะประจำพันธุ์ มะขามหวานพันธุ์นี้เป็นพันธุ์กลาง ติดฝักในเดือนพฤษภาคม โค้งแบนเล็กน้อย หรือโค้งงอปานกลาง ฝักสุกมีสีน้ำตาล เนื้อหนาฉ่ำ ฝักสุกในเดือนธันวาคม

พันธุ์น้ำผึ้ง มะขามหวานพันธุ์นี้ นายวสันต์ เพชระบูรณิน อดีตเกษตรอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชร บูรณ์เป็นผู้ตั้งชื่อลักษณะประจำพันธุ์ มะขามหวานพันธุ์นี้เป็นพันธุ์เบา ติดฝักในเดือนพฤษภาคม ฝักเล็กยาว โค้งงอมาก ฝักสุกจะมีเนื้อหนา รสชาติหอมหวานคล้ายน้ำผึ้งแต่ฝาด ฝักสุกในเดือนธันวาคม

พันธุ์ขันตี มะขามหวานพันธุ์นี้ตั้งชื่อผู้ที่นำมาปลูกคนแรก คือ นายขันตี แก้ววงศ์ อยู่บ้านเลขที่ ๒๐ หมู่ ๑๑ ตำบลท่าพล อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

วิธีปลูก
นิยมปลูกกันด้วยการทาบกิ่ง หรือกิ่งตอน ไม่นิยมปลูกด้วยเมล็ด หากปลูกให้ถูกวิธีและดูแลรักษาดี จะ ให้ฝักภายใน ๓-๔ ปี

คุณค่า
ในมะขามมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์คือ
- คาร์โบไฮเดรท (น้ำตาล) ร้อยละ ๔๒
- วิตามินซี
- เกลือแร่ แคลเซี่ยม
- สารให้รสเปรี้ยว คือ กรดทาทาริค

ประโยชน์
- มะขาม เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ได้แก่
- ใบอ่อน นำไปประกอบอาหารปรุงรสเปรี้ยว
- ใบแก่ เป็นสมุนไพรนำไปต้มน้ำอาบทำให้ผิวหนังสะอาดสดชื่น
- ลำต้น กิ่ง นำไปทำเขียง เผาถ่าน
- ดอก นำไปประกอบอาหาร
- เนื้อ เป็นอาหาร, เครื่องดื่ม,ขัดผิวกาย,ขัดโลหะ
- เมล็ด บดเป็นแป้งนำไปประกอบอาหารได้
- รกหุ้มเนื้อมะขาม นำไปขัดโลหะให้เป็นเงางาม
- เนื้อมะขามเปรี้ยว นำไปปรุงรสอาหารได้รสเปรี้ยว

มะขามหวานเพชรบูรณ์เป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ปลูกเป็นอย่างมาก


มะขาม เป็นยาดีและเครื่องสำอางชั้นยอด


      มะขาม หรือ Tamarind เป็นพืชพื้นบ้านไทยที่ส่วนใหญ่ใช้ปรุงอาหาร ยกเว้นมะขามหวานที่ทานสด แต่มะขามเปรี้ยวถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่า เพราะความเปี้ยวนั่นเองที่ทำกับข้าวได้อร่อยได้รสชาติต่างจากน้ำมะนาว

      ใน มะขามอุดมด้วยวิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และยังมีกรดผลไม้หลายชนิดเช่น กรดซิตริก กรดทาทาริค เป็นต้น ที่สำคัญมีวิตามินเอ วิตามินซีสูง มะขามนอกจากจะใช้ปรุงอาหารแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยา คนที่เป็นหวัดนานๆ ไม่หายสักทีลองรับประทานมะขามดูสัก 2-3 ฝัก หรือทำน้ำมะขามดื่ม รับรองหายไข้ เพราะมีสรรพคุณลดอุณหภูมิในร่างกายได้ดี หวัดหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังทำให้ชุ่มคอชื่นใจ หายเจ็บคอ ช่วยขับเสมหะอีกต่างหาก เหมาะมากกับช่วงฤดูฝนเช่นนี้ นอกจากนี้มะขามยังเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย

      มา ถึงวันนี้ความลับอันทรงคุณค่าของมะขามเพิ่งถูกค้นพบและดึงออกมาเป็นจุดเด่น ใหม่ คือมะขามอุดมด้วยสาร AHA (Alpha hydroxyl acids) คือกรดผลไม้ เหมือนที่มีในแอปเปิ้ล องุ่น กระทั่งในนมก็มี สรรพคุณของ AHA คือช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไปเร็วเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่า เดิม ยิ่งในมะขามอุดมด้วยวิตามินซีมากก็จะช่วยบำรุงผิวด้วยอีกทางหนึ่ง คนไทยสมัยก่อนจึงนิยมนำน้ำมะขามเปียกคั้นแล้วมาทาใบหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็จะได้ผิวหน้านุ่ม ใส ไร้สิว ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางที่กำลังเน้นไปที่การใช้สมุนไพรไทยเป็นจุดขาย จึงหันมาจับมะขามใส่หลอดแล้วจำหน่ายในรูปแบบของครีมล้างหน้า หรือครีมพอกหน้า บ้างก็ผสมไปกับขมิ้นชัน และน้ำผึงเพื่อเพิ่มสรรพคุณบำรุงผิว

      แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับคนที่ใช้มะขามบำรุงผิวหน้าคือระวัง เข้าตา กรดในมะขามทำให้แสบตาได้แบบไม่ลืมเลย สำหรับบางคนอาจจะแพ้สารในมะขามได้บ้าง โดยจะรู้สึกผิวแสบร้อนแบบนี้ก็ไม่ควรใช้

      มะขามพืชไทยราคาถูก เปี่ยมสรรพคุณทรงคุณค่า ใช้ได้ทั้งกินทั้งทา สารพัดประโยชน์เช่นนี้ คงต้องรีบซื้อหามาติดบ้านไว้ หรือไปหามาปลูกสักต้นก็ไม่เลว
มะขามพอกหน้า ใครอยากรูวิธีทำมั่ง



ใน การทำนั้น วัตถุดิบหรือส่วนผสม ที่ต้องใช้ก็มี… มะขามเปียกแกะเม็ดแล้ว 1 กก., น้ำผึ้งรวงแท้ 100 กรัม, นมสด 1,000 ซีซี, ขมิ้นชันผง 1 ช้อนโต๊ะ, ทานาคา 1/2 ช้อนโต๊ะ

อุปกรณ์…เตาแก๊ส, หม้อตุ๋นสเตนเลส, ถาด, ไม้พายพลาสติกประมาณ 5-6 อัน, ถังพลาสติก, กะละมัง, กระชอน, ช้อนตวง, ถุงมือ และภาชนะบรรจุ ส่วนอุปกรณ์อย่างอื่นสามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ขั้น ตอนการทำ “ครีมมะขามสมุนไพรพอกหน้า” เริ่มจากนำมะขามเปียกค้างปีที่คัดเตรียมไว้ 1 กก.ใส่ลงถาด กระจายให้ทั่ว ใช้มือดึงใย และแกะเอาเม็ดมะขามเปียกออกให้หมด



นำมะขามเปียกที่ดึงใย และแกะเอาเม็ดออกหมดแล้วมาล้างน้ำ ใส่ภาชนะทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงทำการยีมะขามเปียกในกระชอน จนได้เนื้อมะขาม



ใส่นมสดที่เตรียมไว้ลงในเนื้อมะขาม ใช้ไม้พายคนให้ทั่ว แล้วแช่ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปตุ๋นด้วยไฟอ่อน ๆ จนเนื้อมะขามนุ่ม (นมทำให้เนื้อมะขามอ่อนตัวลง และยังมีคุณสมบัติบำรุงผิว)



จากนั้น นำน้ำผึ้ง ทานาคา และขมิ้นชัน ผสมใส่ลงไปในเนื้อมะขามเปียก คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปนึ่งอีกครั้ง นึ่งนานประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อฆ่าเชื้อโรค และช่วยให้เก็บไว้ได้นานขึ้น เท่านี้ก็จะได้ครีมมะขามสมุนไพรพอกหน้า

สำหรับวิธีใช้
ล้างหน้าหรือผิวกายให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วจึงนำครีมมะขามสมุนไพรทาให้ทั่วใบหน้าหรือผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จนแห้ง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ดิฉันทำเองแต่ไม่ได้ใส่ทานาคากะขมิ้นชันค่ะ เพราะหาไม่ได้ก็เลยเอาแค่นมสด มะขาม และน้ำผึ้ง น้ำไปเคี่ยวไฟอ่อนจนค้นเป้นครีม ก็ยกลงทิ้งให้อุ่นๆก็เอาใส่กะปุกพลาสติกปิดผาแล้วเอาไส่ตู้เย็น ตอนเช้าก็เอามาพอกหน้าเวลาทำอะไรๆก่อนอาบน้ำนะคะ แล้วทิ้งไว้จนแห้งประมาณสิบห้านาทีแล้วก็พรมน้ำให้พอหน้าเปียกเล็กน้อยค่อยๆ นวดคลึงทั่วใบหน้าสักครู่เพื่อขจัดเซลที่ตายแล้วออก แต่อย่าถูแรงนะคะเพราะจะทำให้หน้าบางและแสบได้ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่าจนหมดเมือกแล้วจึงล้างต่ออีกครั้งดว้ยครีมล้าง หน้าแบบอ่อนๆเพราะน้ำผึ้งจะทำให้เหนียวหน้าล้างด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวไม่ ได้ ล้างจนสะอาดดีแล้วก็ซับหน้าด้วยผ้าสะอาดๆ ก็จบขั้นตอน ต่อไปก็ลงครีมบำรุงและกันแดดแป้งพัฟตามปรกติได้เลย จะสังเกตุได้ว่าหน้านุ่มเนียนลื่นขึ้นค่ะดิฉันทำอาทิตย์ละสาม สี่ครั้ง บางทีก็วันเว้นวันอ่ะค่ะ จากนั้นสักอาทิตย์นึงคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เลยว่าผิวหน้าดูดีขึ้นใส ขึ้นจริงๆ หากคนที่เป็นฝ้าก็จะดูจางลงก็ขอให้ใช้ต่อไปเรื่อยๆค่ะ ไม่ต้องไปหาซื้อของแพงๆที่โษณากันเกลื่อนเน็ต ทำเองสบายใจว่ามันธรรมชาติล้วนๆไม่ได้ผสมสารปรอท หรือไฮโดรควิโนนเร่งผลัดผิวเพราะนั่นอันตรายมากหน้าพังแล้วเอากลับมา ไม่ได้นะคะ ลองเอาไปทำดูนะรับรองว่าดีมากๆค่ะ จากประสปการณ์ตรง ใช้เอง ทำเองค่ะ
สมุนไพรภาคใต้-มะขาม
tamarind สมุนไพรภาคใต้ มะขาม
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกต้น (ทั้งสดหรือแห้ง) เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณและวิธีใช้
1. แก้ อาการท้องผูก ใช้เนื้อฝักแก่หรือมะขามเปียก 10–20 ฝัก (หนักประมาณ 70–150 กรัม) จิ้มกับเกลือรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่ม
2. แก้อาการท้องเดิน ใช้เปลือกต้น ทั้งสดหรือแห้งประมาณ 1–2 กำมือ (15–30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทาน
3. ถ่าย พยาธิลำไส้ ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20–30 เมล็ด เหมาะสำหรับถ่ายพยาธิไส้เดือน
4. แก้ไอขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทาน

มะขามน่าทาน


ผลไม้น่าทานที่สุด อย่าง มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ ที่มีการแตกกิ่งก้านสาขา ผิวเปลือกต้น จะมีผิวขรุขระและหนา มีสีน้ำตาลอ่อน
ใบ จะเป็นใบเล็กๆ ออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ มีใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบ และโคนใบมน ที่จะประกอบ ด้วยใบย่อย 10 คู่
โดยแต่ล่ะ ใบย่อยมีขนาดเล็ก กว้าง 5 มม. ยาว 2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 16 ซม.
ส่วนดอก จะมีการออกตามปลายกิ่ง และจะมีขนาดเล็ก
ส่วนกลีบดอก จะมีสีเหลือง และมีจุดประสีแดง หรือม่วงแดงอยู่กลางดอก
ผล จะเป็นฝักยาว ที่มีรูปร่างยาว หรือโค้ง ยาวประมาณ 3-15 ซม.
ส่วนฝักของมะขาม อ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม ส่วนเนื้อในติดกับเปลือก เมื่อมะขามมีผลแก่ ฝักมะขามก็จะเปลี่ยน เป็นเปลือกแข็งกรอบ และสามารถหักง่าย มีสีน้ำตาล
เนื้อภายใน จะกลายเป็นสีน้ำตาล ที่มีเนื้อหุ้มเมล็ด เนื้อมะขามจะมีรสเปรี้ยว หรือหวาน ซึ่งฝักของมะขาม จะมีเมล็ดประมาณ 10 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล

สรรพคุณของมะขาม
เพราะว่าเนื้อไม้ ของมะขาม ใช้สามารถนำมาทำเป็นเขียง ที่มีคุณภาพดีมากเลย เพราะเป็นไม้ทีมีเนื้อ เหนียวคงทน
ใบแก่ของมะขาม จะมีรสเปรี้ยวฝาด ที่นำมาใช้ นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอ ช่วยในการแก้โรคบิด ช่วยในการขับเสมหะ ในลำไส้ โดยเรานำมาต้ม ผสมกับหัวหอม นำมาโกรกศีรษะเด็ก ในเวลาเช้ามืด เพื่อช่วยในการแก้หวัดจมูกได้ หรืออาจจะนำมา ใช้น้ำที่ต้มให้สตรีหลังคลอดอาบด้วยก็ได้ ใช้นำมาอบไอน้ำได้
ใบอ่อนและดอกของมะขาม สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารได้
ส่วนเนื้อของมะขาม โดยใช้ผลแก่ประมาณ 10 ฝัก นำมาจิ้มกินกับเกลือ แล้วดื่มน้ำตามมากๆ อาจจะทำน้ำมะขามคั้น เอาน้ำกิน เพื่อใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก ใช้เป็นยาระบาย ช่วยในการแก้ไอ ช่วยในการขับเสมหะ ช่วยในการลดการกระหายน้ำ โดยการใช้เนื้อมะขาม นำมาผสมกับข่า และเกลือพอประมาณ แล้วนำมารับประทาน เพื่อใช้เป็นยา ช่วยในการขับเลือดขับลม ช่วยในการ แก้สันนิบาตหน้าเพลิง ใช้ผสมกับปูนแดง แล้วนำมาพอก หรือทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน หรือฝี
เมล็ดแก่ของมะขาม สามารถนำมาคั่วให้เกรียม แล้วนำมากะเทาะเปลือกออก ใช้ประมาณ 30 เม็ด จากนั้นนำมาแช่น้ำเกลือ จนอ่อน แล้วนำมาใช้กินเป็นยาถ่ายพยาธิ ไส้เดือนในท้องเด็กได้ หรือใช้เปลือกนอก ที่กระเทาะออก ใช้กินเป็นยาแก้ท้องร่วง และแก้อาเจียนได้ดี
สรรพคุณทางยา
- มะขามใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- ช่วยในการแก้ท้องผูก แก้ท้องเดิน
- ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิลำไส้
- ช่วยในการแก้ไอขับเสมหะ
- น้ำมะขามลดอุณหภูมิในร่างกายและแก้ไข้ได้
ผลไม้น่าทานที่สุด การทานมะขามที่มีประโยชน์ ที่ทั้งอร่อย และยังสามารถนำมาใช้เป็นยาได้อีกด้วยล่ะ
ขอบคุณบทความจาก : the-than.com

 



    พันธุ์หมื่นจง เป็นต้นตระกูลของพันธุ์มะขามหวานกำเนิดมาได้นานกว่า 200 ปี โดยขุนหมื่นจงเป็นผู้ค้นพบ จัดเป็นมะขามหวานพันธุ์หนัก มีถิ่นกำเนิดที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ลักษณะใบใหญ่สีเขียวสด เปลือกลำต้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ฝักโค้งใหญ่แทบจรดกันเป็นรูปวงฆ้อง รสชาติหวานสนิท เนื้อหนาเมล็ดเล็กและเนื้อล่อน เมื่อสุกงอมจะมีสีน้ำตาลเข้ม ส่วนข้อเสียฝักมักแตกเนื่องจากโครงสร้างของเปลือกไม่ดี จนเป็นลักษณะประจำสายพันธุ์ และด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากเกษตรกร ในการแพร่ขยายพันธุ์จนส่งผลให้ปัจจุบันมะขามหวานในสายพันธุ์นี้เกือบจะสูญพันธุ์แล้ว..

    Pakai.jpg (3513 bytes)พันธุ์ประกายทอง (พันธุ์ตาแป๊ะ) จัดเป็นมะขามหวานสายพันธุ์เบา โดยมีต้นกำเนิดอยู่ที่ บ้านโป่งตาเป้า อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์   โดยนายเจียง แซ่เฮง ได้นำเมล็ดมาเพาะพันธุ์กระทั่งให้ผลผลิต โดยมีรสชาติหวานหอมอร่อย และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมาก สำหรับลักษณะลำต้นผิวเปลือกออกสีน้ำตาล ผิวหยาบ  ใบหนา เข้ม ปลายใบตัด หยัก ส่วนลักษณะฝักมีขนาดยาวใหญ่ค่อนข้างตรง กลม เปลือกฝักบาง ผิวเรียบเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่สีเนื้อเป็นสีน้ำผึ้งออกทรายแดงและเนื้อหนาตกทราย รสหอมหวาน รกหุ้มเนื้อน้อย เมล็ดเล็ก   ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่เดือนธันวาคม ปัจจับุนต้นแม่พันธุ์ยังอยู่ที่สวนมะขามหวานประกายทอง(ไร่ตาแป๊ะเจียง) บ้านโป่งตาเป้า อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2537 ในงานมหกรรมส่งเสริมการเกษตร ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ สิริกิติ์ ทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้ประกาศรับรองมะขามหวานพันธุ์ประกายทอง ให้เป็นมะขามหวานพันธุ์ส่งเสริม กรมส่งเสริมการเกษตร ขณะเดียวกันนายเจียง แซ่เฮง ซึ่งปัจจุบันอายุ 71 ปี ได้เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณด้วย

    พันธุ์ปากดุก มะขามหวานพันธุ์ปากดุก เป็นสายพันธุ์มะขามหวานที่กลายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ด โดยมีต้นกำเนิดที่ตำบลปากดุก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์   ลักษณะของใบปกติไม่ใหญ่ เหมือนพันธุ์หมื่นจง ฝักมีขนาดค่อนข้างใหญ่ตรงมากกว่าพันธุ์อื่น คล้ายพันธุ์อินทผาลัมแต่สั้นกว่า ข้างฝักเป็รสันเห็นชัดเจน เปลือกสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลออกเทา รสหวานอมเปรี้ยว คล้ายอินทผาลัม แต่เนื้อไม่เหนียวและค่อนข้างจะร่วนซุย เมล็ดมีขนาดใหญ่ ล่อน ดกพอกับพันธุ์ศรีชมภู แต่แพ้พันธุ์อินทผาลัมและพันธุ์ขันตี ราคาไม่เด่นและเกษตรกรไม่นิยมปลูก....

    sritong.jpg (13869 bytes)พันธุ์สีทอง (พันธุ์นายหยัด) มะขามหวานพันธุ์สีทอง เป็นมะขามที่กลายพันธุ์มาจากพันธุ์หมื่นจง โดยเป็นที่ยอมรับกันว่า ป็นสายพันธุ์มะขามหวานที่ดีเยี่ยม โดยนายประหยัด กองมูล เกษตรกรชาวอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้ค้นพบ สำหรับลักษณะลำต้นเปลือกมีสีค่อนข้างขาวนวล รอยแตกของเปลือกละเอียด ใบมีขนาดใหญ่ทรงพุ่มเอาแน่นอนไม่ได้ เพราะการแตกกิ่งก้านออกมา ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ลักษณะฝักโค้งใหญ่และยาว เปลือกฝักมีสีออกขาวนวล เนื้อหนาและมีสีเหลืองทอง รสหวานจัด โดยจัดว่าเป็นมะขามหวานพันธุ์หนักอีกสายพันธุ์หนึ่ง โดยฝักจะสุกงอมและเกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวได้ในราวเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนมีนาคม

    พันธุ์ศรีชมภู จัดเป็นมะขามหวานสายพันธุ์เบา ลำต้นเปลือกสีน้ำตาลเทา หรือน้ำตาล ลายแตกของเปลือกจะหยาบ ท้องของกิ่งเป็นร่อง ทรงพุ่มตั้งตรงขึ้นไม่แผ่ออก ทรงคล้ายฉัตร กิ่งสั้นอวบ ใบสีเขียวเข้ม ยอดอ่อนมีสีแดงจัด และค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ จนเป็นสีชมพู ออกดอกประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ฝักแก่เก็บได้ประมาณต้นเดือนธันวาคม ฝักแก่สังเกตุได้ที่ท้องเริ่มยุบลง ส่วนฝักที่ไม่แก่เมล็ดจะดำและกลม พอเริ่มแก่เมล็ดจะเป็นสีน้ำตาลหรือดำ เปลือกจะเปลี่ยนสีจากน้ำตาลเป็นสีเท่าหม่น ก้านฝักจะเริ่มเหี่ยวลงแสดงว่าเริ่มแก่แล้ว ลักษณะฝักทั่วไปเป็นมะขามที่มีลักษณะฝักตรงยาว บริเวณส่วนนอกของฝักจะเป็นร่องแบน เรียกว่า "ฝักอกร่อง" เปลือกฝักบาง เนื้อเหนียวหนา หวานและมีกลิ่นหอม เมล็ดล่อน รกหุ้มเนื้อน้อยมาก สำหรับข้อเสียของมะขามหวานสายพันธุ์นี้คือ จะมีความแปรปรวนของรสชาติไปมาก เมื่อสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นเนื่องจากเปลือกฝักบางจึงทำให้ฝักแตกเสียหายง่าย แต่ทั้งนี้ก็จัดว่าเป็นมะขามหวานสายพันธุ์เศรษฐกิจที่เกษตรกรชาวเพชรบูรณ์ให้ความนิยมปลูกกันมาก

    พันธุ์อินทผาลัม มะขามหวานพันธุ์อินทผาลัม เดิมเรียกพันธุ์หนองเล เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดที่บ้านหนองเล อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์    โดยมีการสันนิษฐานว่าเป็นสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์มาจากพันธุ์หมื่นจงหรือพันธุ์ปากดุก ลำต้นจะมีลายแตกของเปลือกพอๆกับพันธุ์หมื่นจงแต่หยาบกว่าพันธุ์ขันตี ทรงพุ่มกลมเป็นทรงกระบอก โครงสร้างของทรงพุ่มแน่น ใบวีเขียวเข้ม ใหญ่และทึบ ยอดอ่อนที่เริ่มแตกออกมาจะเป็นสีเขียวอ่อน ซึ่งผิดแผกไปจากมะขามหวานพันธุ์อื่น ลักษณะฝักแบนเรียบค่อนข้างกลม ฝักตรง เนื้อมีสีน้ำตาลคล้ำค่อนข้าวงเหนียว เนื้อมากฉ่ำไม่แห้ง ที่เด่นมากคือ ออกดอกทุกปีเพราะเป็นพันธุ์เบา เนื่องจากเนื้อหวานเหมือนผลไม้จากทะเลทราย จึงมีการส่งออกจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศในแถบตะวันออกกลาง...
มะขาม มะขาม (Tamarind) เรื่องมะขาม มีคติความเชื่อว่า มะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีคนเกรงขาม ยำเกรง
สรรพคุณ เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก แก้ไอ และแก้หวัดคัดจมูก มีวิตามินซี ช่วยให้ ฟันและเหงือกแข็งแรง และทำให้ผิวพรรณดี


การปรุงรสมะขามให้ได้รสชาด และถนอมอาหารเก็บไว้ได้นาน มะขามแก้ว
ส่วนผสม
  • มะขามเปียกใหม่ๆ แกะเมล็ดสับละเอียด 1 1/4 ถ้วย
  • น้ำเย็น 1 ถ้วย
  • เกลือป่น 4 ช้อนตวง
  • พริกขี้หนูสดโขลกละเอียด 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 9 ถ้วย
วิธีทำ
  1. ละลายมะขามกับน้ำเย็น เทใส่กระทะตั้งไฟ พอมะขามละลายดีใส่เกลือป่น พริกขี้หนูโขลก น้ำตาลทราย 3 ถ้วย เคี่ยวให้เหนียวจนเป็นยางมะตูม
  2. เติมน้ำตาลทีละถ้วย และสองถ้วย จนครบ 8 ถ้วย คนให้เข้ากันดี
  3. ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นเม็ดกลมๆขนาดตามต้องการ คลุกกับน้ำตาลทราย อีกครั้ง เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด หรือจะห่อกระดาษแก้วก็ได้
น้ำพริกมะขามสดผัด
เครื่องปรุง มะขามสดอ่อน หมู กุ้งแห้ง กะปิดี กระเทียม พริกเหลือง พริกขี้หนู ถ้าคนแพ้กุ้งใช้ปลากรอบแทนได้ เกลือ น้ำปลาดี น้ำตาลปีบ น้ำมันหมู ปูเค็ม หรือแมงดา
วิธีทำ ล้างมะขามให้สะอาด ตำกับเกลือนิดหน่อยให้ละเอียด ป่นกุ้งแห้งไว้ สับหมูไว้ เอากระเทียมตำกับกะปิดี พริกขี้หนู พริกเหลือง ใส่มะขามสดที่ตำไว้ลงไปใส่กุ้งแห้งตำหยาบๆ ปรุงรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ให้ครบ 3 รส ถ้าจะใส่ปูเค็มไม่ต้องเอาไปผัด ฉีกปูเคล้าลงไปเลย ก็กินได้แล้ว ถ้าจะผัด ก็เอาน้ำมันใส่กระทะ เอาน้ำพริกที่ตำไว้เคล้ากับหมูสับผัดลงไป ถ้าสุกจะหอม ถ้าจะใส่แมงดา ก็หั่นแมงดามาเคล้าตอนนี้ อย่าเอาแมงดาไปผัด จะไม่หอม

เครื่องแกล้ม
ปลาทูทอด เนื้อเค็มฉีกเป็นเส้น คั่วให้กรอบ ใส่น้ำตาลทราย ไข่กับหมู 3 ชั้นพะโล้ หัวไชโป๊ต้มกับกะทิใส่น้ำตาล นิดหน่อย เคี่ยวแห้ง กากหมูจากมันแข็งเจียวให้แห้งใส่น้ำตาล ใบทองหลางลายทอดกรอบ กินทุกอย่างตามที่เขียนมาจึงเรียกกินครบเครื่องของน้ำพริกมะขามสด
ผักที่ใช้กิน สายบัว มะเขือ แตงกวา ขมิ้นขาว ผักใบทุกอย่างที่ชอบกินได้

น้ำมะขาม
นำมะขามสดไปลวกในน้ำต้มเดือด ตักขึ้น แกะเอาแต่เนื้อมะขาม นำไปต้ม กับน้ำตาลส่วนผสมให้เดือด เติมน้ำเชื่อม เกลือชิมรสตามชอบ แต่ถ้าใช้มะขามเปียก ควรแช่น้ำไว้สัก 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้มะขามเปียก เปื่อยยุ่ยออกมารวมกับน้ำ ก่อนนำไปต้มจนเดือดแล้วปรุงด้วยน้ำเชื่อมและเกลือ

มะขาม คุณค่าทางอาหารของมะขาม
มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และ มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก รวมทั้งแก้กระหายน้ำ ช่วยขับเสมหะแก้ไอ เป็นยาระบายท้อง ช่วยการขับถ่ายได้ดี ลดอาการโลหิตจาง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน


มะขาม.
 ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tamarindus indica Linn.

วงค์ : LEGUMINOSAE

ชื่อท้องถิ่น : มะขามไทย (ภาคกลาง) ขาม (ใต้) ตะลูบ (นครราชสีมา) ม่วงโคล้ง (กะเหรี่ยง – กาญจนบุรี) อำเปียล (เขมร-สุรินทร์)

ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อฝักแก่ เนื้อเม็ดมะขามแก่

ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บช่วงฝักแก่เปลือกสีน้ำตาล

รสและสรรพคุณยาไทย : เนื้อฝักแก่ รสเปรี้ยว เป็นยาระบาย ขับเสมหะ

วิธีใช้ : มะขามเป็นยารักษาอาการท้องผูก โดยใช้มะขามเปียกรสเปรี้ยว 10-20 ฝัก จิ้มเกลือรับประทาน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ หรือดื่มน้ำคั้นใส่เกลือเล็กน้อยเป็นน้ำมะขาม

write by: หมออนามัยไกลบ้าน : UnityNature

คุณอาจสนใจเรื่องนี้

มะขาม

มะขาม เป็นไม้เขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาแถบประเทศซูดาน ต่อมามีการนำเข้ามาในประเทศแถบเขตร้อนของเอเชีย และประเทศแถบละตินอเมริกา และในปัจจุบันมีมากในเม็กซิโก
มะขามเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีคำขวัญประจำจังหวัดว่า "เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง"


ลักษณะทั่วไป


มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้าน สาขามากไม่มีหนาม เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ประกอบ ด้วยใบย่อย 10–15 คู่ แต่ละใบย่อยมีขนาดเล็ก กว้าง 2–5 มม. ยาว 1–2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 ซม. ดอก ออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และ/หรือหวาน ซึ่งฝักหนึ่ง ๆ จะมี/หุ้มเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
ใบของมะขามเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบแยกออกจากก้าน 2 ข้างของแกนกลาง คล้ายขนนก ถ้าปลายสุดของใบจะเป็นใบย่อยเพียงใบเดียวเรียก แบบขนนกคี่ (odd pinnate) เช่น กุหลาบ อัญชัน ก้ามปู ถ้าสุดปลายใบมี 2 ใบ เรียกแบบขนนกคู่ (even pinnate) เช่น มะขาม

การปลูก


การปลูกมะขาม ทำได้โดยเตรียมดินโดยขุดหลุมกว้าง ยาวและลึกด้านละ 60 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าดินรองก้นหลุมเอากิ่งพันธุ์ลงปลูก รดน้ำให้ชุ่ม มะขามเมื่อลงดินแล้วจะโตเร็ว ควรใช้ไม้หลักพยุงไว้ให้แน่น และการบำรุงรักษาหลังเริ่มปลูก ควรเอาใจใส่ดายหญ้ารอบต้น และรดน้ำทุกวัน

ประโยชน์


ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกต้น (ทั้งสดหรือแห้ง) เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณและวิธีใช้
แก้อาการท้องผูก ใช้เนื้อฝักแก่หรือมะขามเปียก 10–20 ฝัก (หนักประมาณ 70–150 กรัม) จิ้มกับเกลือรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่ม
แก้อาการท้องเดิน ใช้เปลือกต้น ทั้งสดหรือแห้งประมาณ 1–2 กำมือ (15–30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทาน
ถ่ายพยาธิลำไส้ ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20–30 เมล็ด เหมาะสำหรับถ่ายพยาธิไส้เดือน
แก้ไอขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทาน
การขยายพันธุ์ : นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและไม่ทำให้กลายพันธุ์
สภาพดินฟ้าอากาศ : ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิดแม้แต่ดินเลว เช่นดินลูกรัง เจริญได้ดีในดินร่วนปนดินเหนียว ทนแล้งได้ดี ฤดูปลูกที่เหมาะสม คือต้นฤดูฝน
ควรหาเศษหญ้าฟางคลุมโคนจนกว่าต้นจะแข็งแรง ควรฉีดยาป้องกันโรคราแป้งและแมลงพวกหนอนเจาะฝัก ด้วงเจาะเมล็ด ในระยะที่เป็นดอกอยู่

คุณค่าทางโภชนาการ


ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามิน เอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝักมะขามที่แก่จัด เรียกว่า "มะขามเปียก" ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย
มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ อาทิ กรดซิตริค (Citric Acid) กรดทาร์ทาริค(Tartaric Acid) หรือกรดมาลิค(Malic Acid) เป็นต้น มีคุณสมบัติชำระล้างความสกปรกรูขุมขน คราบไขมันบนผิวหนังได้ดีมาก

คติความเชื่อ


ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม

อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1

เจลเม็ดมะขาม ควบคุมทิศทางยา


ศ.ดร.วิมล ตันติไชยากุล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิด เผยว่า แป้งเมล็ดมะขาม เมื่อผสมกับตัวยารักษาโรคที่มีโครงสร้างเหมาะสม ซึ่งทำให้ควบคุมการปลดปล่อยตัวยาได้ และนำส่งยาไปสู่ตำแหน่งที่ต้องการรักษา ลดความเป็นพิษของยาที่จะแพร่กระจายไปตำแหน่งอื่นของร่างกาย
ทีมงานวิจัย ได้ใช้เทคนิคการกระเจิงรังสีเอ็กซ์ด้วยแสงซินโครตรอน เปลี่ยนแปลงลักษณะการจัดเรียงโมเลกุลของสารจากแป้งเมล็ดมะขาม โดยเข้าไปเป็นตัวเชื่อมโมเลกุล ทำให้แป้งเปลี่ยนสภาพเป็นสภาพเจล
การวิจัยดังกล่าวเป็นการเพิ่มมูลค่าของพืชและพัฒนาระบบการรักษาโรคต่อไป
ที่มา : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  , บ้านเมือง

 

มะขาม (Tamarind)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Tamarindus indica L.
มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากไม่มีหนาม เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ประกอบ ด้วยใบย่อย 10–15 คู่ แต่ละใบย่อยมีขนาดเล็ก กว้าง 2–5 มม. ยาว 1–2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 ซม. ดอก ออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และ/หรือหวาน ซึ่งฝักหนึ่ง ๆ จะมี/หุ้มเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
ใบของมะขามเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบแยกออกจากก้าน 2 ข้างของแกนกลาง คล้ายขนนก ถ้าปลายสุดของใบจะเป็นใบย่อยเพียงใบเดียวเรียก แบบขนนกคี่ (odd pinnate) เช่น กุหลาบ อัญชัน ก้ามปู ถ้าสุดปลายใบมี 2 ใบ เรียกแบบขนนกคู่ (even pinnate) เช่น มะขาม
การปลูกมะขาม ทำได้โดยเตรียมดินโดยขุดหลุมกว้าง ยาวและลึกด้านละ 60 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าดินรองก้นหลุมเอากิ่งพันธุ์ลงปลูก รดน้ำให้ชุ่ม มะขามเมื่อลงดินแล้วจะโตเร็ว ควรใช้ไม้หลักพยุงไว้ให้แน่น และการบำรุงรักษาหลังเริ่มปลูก ควรเอาใจใส่ดายหญ้ารอบต้น และรดน้ำทุกวัน
คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณ:
ผลมะขาม ประกอบด้วยกรดอินทรียืหลายตัว เช่น กรดทาร์ทาริก กรดซิตริก เป็นต้น กรดเหล่านี้มีฤทธิ์ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ การแพทย์แผนไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวจากมะขามนี้จะช่วยกัดเสมหะให้ละลายได้  ทั้งยังช่วยเป็นยาระบายอ่อน ๆ ที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ น้ำมะขามเปียกยังใช้ขัดเครื่องทองเหลืองเครื่องเงินให้เป้นเงางาม คนโบราณใช้น้ำมะขามละลายกับน้ำเกลือ สวนทวารแก้ท้องผูก และดื่มแก้กระหายน้ำ กับทั้งเป็นยาขับเลือดลมของผู้หยิงหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ ยอดอ่อนและฝักสด มีแคลเซียม ฟอสฟอรัสและวิตามินซีมาก บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ไม่เปราะง่าย และช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค มีธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ใบ มีแคลเซียม เส้นใย และฟอสฟอรัส บำรุงเป็นยาแก้โรคบิด แก้ไอ ต้มน้ำรวมกับหัวหอมโกรกหัวเด็กแก้หวัดคัดจมูก เมล็ด มีมิวซิเลจสูง มีไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำมันชนิด semidrying fixed oil และอื่น ๆ เมล็ดคั่วไฟและกะเทาะเปลือกออก กินแก้อาการท้องร่วง แก้อาเจียน แก่น แก้ฝีในมดลูก แก้อาการสะอึก และรักษาโรคบิด


Popular Posts

Total Pageviews